ในวันที่เป็นไท : “บัวขาว” สมบัติ บัญชาเมฆ - Forbes Thailand

ในวันที่เป็นไท : “บัวขาว” สมบัติ บัญชาเมฆ

FORBES THAILAND / ADMIN
13 Jun 2014 | 11:12 AM
READ 11379

เลี้ยวเข้าไปในซอยเล็กย่านศูนย์วิจัยเวทีมวยที่กันแดดกันฝนด้วยหลังคามุงจากนั้นตั้งตระหง่านท่ามกลางสวนมะม่วงอันร่มรื่น นักชกทั้งไทยและต่างประเทศรวมแล้วกว่าสิบคนกำลังมุ่งมั่นฝึกเชิงมวยอย่างเอาจริงเอาจัง

ที่นี่คืออาณาจักรของ สมบัติ บัญชาเมฆ วัย 31 ปี นักมวยขวัญใจคนไทย ในวัน“ฟ้าใหม่” เขายังเลือกเป็นราชันย์แห่งเจ้าสังเวียน พร้อมก้าวสู่การเป็นโปรโมเตอร์มวย พ่วงด้วยเป็นพรีเซนเตอร์โฆษณาสินค้าหลากชนิด เกือบทุกเช้า สมบัติ หรือที่แฟนมวยคุ้นหูในชื่อ บัวขาว จะตื่นตี 5 ครึ่ง แล้วออกกำลังกายต่อเนื่องหลายชั่วโมงที่ค่ายมวยบัญชาเมฆแห่งนี้ แม้จะซ้อมหนัก แต่เจ้าตัวบอกว่า เป็นเรื่องธรรมดา เพราะคุ้นชินมาตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็ก ชายหนุ่มสายเลือดกูยเติบโตในครอบครัวชาวนาแห่ง อ.สำโรงทาบ จ.สุรินทร์ ว่างเมื่อไรก็จับกลุ่มต่อยมวยกับเพื่อน “เด็กๆ ใครจะไปรู้ว่าเจ็บ รู้แต่สนุก...ก็ต่อยกันเละเทะ” เจ้าตัวเล่าพลางหัวเราะ บุคลิกเป็นกันเอง และรอยยิ้มจริงใจทำให้ไม่ยากที่จะสานต่อบทสนทนากับเขา บัวขาวขึ้นต่อยมวยวัดครั้งแรกเมื่ออายุ 7 ขวบ เงินค่าตัว 100 บาทที่ได้ครั้งนั้นนำไปให้พ่อ และซื้อขนมกินเหมือนกับเด็กๆ คนอื่นในวัยเดียวกัน จากนั้นตระเวนต่อยหลายเวทีในฉายา ‘ดำทมิฬ เกียรติหมู่สี่’ ตามสีผิวที่ดำสนิท และอาศัยอยู่หมู่ 4 โดยไม้เด็ดอยู่ที่หมัดอันหนักหน่วง และเชิงรุกอันรวดเร็วดุดัน ทำให้นักชกต่างอำเภอเริ่มขยาดฝีมือพอหาคู่ชกยากขึ้น ประกอบกับเพื่อนชักชวนให้เข้าสังกัดมวย ทำให้ดำทมิฬในวัย 15-16 ปี ตัดสินใจเดินเข้าค่ายมวยในกรุงเทพฯ และทำให้ชื่อของ บัวขาว ป.ประมุข อยู่คู่สังเวียนมวยมานับแต่นั้น เขาโชว์แม่ไม้มวยไทยนานหลายปี คว้าแชมป์มาไม่น้อย ก็มีนายหน้ามาเสนอให้ขึ้นชกรายการ K-1 World MAX Champions ที่ประเทศญี่ปุ่น ในปี 2547
“ตอนนั้นหาคู่ชกยากแล้ว ต่อยน้ำหนัก150 ปอนด์ (70 กิโลกรัม) ซึ่งเมืองไทยไม่ค่อยมีนักมวยน้ำหนักมากๆ อย่างนี้ ที่มีอยู่ก็ชนะหมดแล้ว เลยไปต่อยเมืองนอกดีกว่าซึ่งไม่รู้เลยว่ารายการที่จะไปต่อยเป็นรายการแบบไหน แต่พอไปถึงขึ้นเวทีถึงได้รู้ว่าก็คล้ายๆ มวยไทย มีคนนิยมเยอะมาก” การตัดสินใจครั้งนั้นพลิกชีวิตบัวขาวในบัดดล เพราะเมื่อคว้าแชมป์ K-1 ในปี 2547 ชื่อเสียงและเงินทองก็หลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย เขากลายเป็นรองแชมป์ในปีถัดมา และการทวงบัลลังก์กระชากเข็มขัดแชมป์กลับมาได้สำเร็จในปี 2549 ก็ยิ่งทำให้เขาฉายแสงกลายเป็นซูเปอร์สตาร์แห่งวงการมวยไทย ชื่อเสียงของบัวขาวโด่งดังขึ้นมากในต่างแดน มีแฟนคลับต่างชาติจำนวนไม่น้อย ชีวิตหลังจากนั้นจนถึงปี 2552 บัวขาว เดินสายต่อยมวยเมืองนอก มีทั้งโชว์ตัวและถ่ายทอดประสบการณ์การชก แทบจะใช้ชีวิตบนเครื่องบินเพราะเดินทางรอบโลกค่าตอบแทนในการขึ้นชกตอนนั้น เขาบอกว่าไม่ต่ำกว่าไฟต์ละ 1,300,000 บาท แต่เส้นทางที่กำลังไปได้สวยต้องสะดุด เมื่อวันหนึ่ง “ผลประโยชน์” กลายเป็นเชื้อไฟปะทุและลุกโหมแรงกระทั่งกลายเป็นความขัดแย้งระหว่างตัวบัวขาว กับค่าย ป.ประมุข ตามด้วยข้อกล่าวหาว่า เขาผิดสัญญากับไทยไฟต์ที่ไปขึ้นชกโชว์รายการ Khmer Fighter ที่กัมพูชา และ “50 ล้านบาท” คือราคาที่บัวขาวต้องจ่าย หากศาลตัดสินว่าผิดจริง เขาจึงตัดสินใจฟ้องกลับไทยไฟต์ เพื่อเรียกศักดิ์ศรีกลับคืนมา “ผมอิงกับเกณฑ์ที่เคยได้ ไม่เคยอัพค่าตัวพอทำหน้าที่ดีแล้ว มีชื่อเสียงแล้วก็กลายมาเป็นธุรกิจ อยากให้เราไปทำนั่นทำนี่ แต่ตัวเราล่ะ คนอาจรู้ว่าบัวขาวได้ค่าตัวล้านกว่า 2 ล้าน แต่หักค่าใช้จ่ายแล้วเหลือเท่าไหร่ รู้สึกว่าตัวเองมีผลประโยชน์เข้ามาเยอะ เก่งบนเวทียังไง เจอกฎหมายเข้าไปก็น็อค” แม้คุยประเด็นเครียด แต่แชมป์ไทยไฟต์ปี 2555 ยังมีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า แม้ว่าเขาจะเป็นแชมป์มวยไทย เจอคู่ต่อสู้มาแล้วทั่วโลก แต่หากเป็นเวทีแห่งธุรกิจเขาบอกว่าเป็นได้แค่ “ลูกไก่” ให้คนอื่นคอยรังแก ตัวอักษรที่เป็นภาษากฎหมายบนแผ่นกระดาษ กลับทำร้ายเขามากกว่าหมัด เท้า เข่า ศอก ของคู่ต่อสู้บนสังเวียนเสียอีก “ที่ผ่านมาสัญญาทุกอย่างมาจากการพูดคุยตกลงกัน เป็นการคุยแบบใจกับใจ ผมไม่เข้าใจในสัญญาที่เซ็น เข้าใจแต่ว่าเนื้อหาในสัญญาเหมือนกับที่คุยกัน” ทำให้ในวันนี้บัวขาวต้องจ้างนักกฎหมายมาคอยดูแลทุกสัญญาของเขาอย่างละเอียด อุปสรรคที่เข้ามาไม่ได้ทำให้กำลังใจของบัวขาวน้อยลง เมื่อชีวิตถูกปลดล็อค ก็เลือกขีดเส้นชะตาชีวิตด้วยตนเอง เพื่อให้สิ่งที่เขาเรียกว่า “คุณค่าทางจิตใจ” กลับมาอีกครั้งทั้งการขึ้นชกมวยไทยอันเป็นงานหลัก ซึ่งเงื่อนไขที่เขาขอคือ ถ้าคิดค่าตัว จะอยู่แค่การชกต่อครั้งเท่านั้น ไม่รวมการโชว์ตัวอื่นๆ ซึ่งตอนนี้มีติดต่อเข้ามาแล้วร่วม 20 รายการ พร้อมเริ่มอาชีพใหม่คือโปรโมเตอร์มวยไทย ประเดิมด้วยศึก Max World Champion2013 ที่จัดแบบทัวร์นาเมนต์ เสร็จสิ้นเวทีแรกไปเมื่อเดือนพฤษภาคม ที่ จ.สุรินทร์ บ้านเกิด