Hublot "Big Bang e" ศิลปะแห่งการผสมผสานที่งดงามทุกมิติ - Forbes Thailand

Hublot "Big Bang e" ศิลปะแห่งการผสมผสานที่งดงามทุกมิติ

PR / PR NEWS
02 Jun 2020 | 09:21 PM
READ 2664

Hublot (อูโบลท์) เปิดตัวนาฬิกา บิ๊ก แบง (Big Bang) เป็นครั้งแรกในปี 2005 และนับจากนั้นเป็นต้นมา นาฬิการุ่นนี้ก็ได้กลายเป็นตัวแทนของประเพณีการประดิษฐ์นาฬิกาสวิสแห่งสหัสวรรษที่สาม กระทั่งในปี ค.ศ. 2018 เวอร์ชั่น คอนเนคเต็ด (connected) รุ่นแรกของบิ๊ก แบง ก็ได้เปิดตัวขึ้นครั้งแรก

ศิลปะแห่งการผสมผสาน (Art of Fusion) ของแบรนด์ ที่เป็นการผสมผสานระหว่างประเพณีและนวัตกรรม วัสดุอันล้ำสมัยและเทคโนโลยีดิจิทัลล่าสุด

เพื่อต้อนรับการแข่งขันฟุตบอลโลก ปี 2018 (2018 Football World Cup) ในรัสเซีย Hublot ได้เปิดตัวนาฬิกาคอนเนคเต็ดรุ่นแรกของแบรนด์ภายใน บิ๊ก แบง เรฟเฟอรี 2018 ฟีฟ่า เวิลด์ คัพ รัสเซีย (Big Bang Referee 2018 FIFA World Cup RussiaTM) ซึ่งติดตั้งด้วยการพัฒนาทางเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่ต่อยอดมาสู่เทคโนโลยีซึ่งสามารถสวมใส่ได้

โดยอุปกรณ์อันน่าทึ่งนี้ได้ถูกใช้งานทั้งโดยกรรมการตัดสินบนสนามแข่งขันและเหล่าแฟนฟุตบอล เสมือนดั่งสเตเดียมภาพที่พวกเขาสามารถมีส่วนร่วมในการแข่งขัน และสองปีต่อมา Hublot ก็ได้หวนคืนด้วยผลงานรุ่นใหม่ บิ๊ก แบง อี นาฬิกาคอนเนคเต็ดวอทช์ที่ติดตั้งด้วยเทคโนโลยีล่าสุด ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้ได้กับทุกๆ รหัสการออกแบบอันเป็นต้นตำรับของบิ๊ก แบง ทั้งหมด

นาฬิกาอิเล็กทรอนิกส์ถูกสร้างสรรค์ขึ้นในสวิตเซอร์แลนด์ โดยการใช้กลไกควอตซ์ในยุค 1970s และห้าสิบปีต่อมา เรากำลังสืบทอดซึ่งสายเลือดแห่งนวัตกรรมเดียวกัน ด้วยการผลิตนาฬิกาสมาร์ทวอทช์รุ่นที่สอง ซึ่งบรรจุไว้ด้วยความซับซ้อน ล้ำสมัยทางเทคโนโลยีระดับสูงสุด

ขณะเดียวกันก็เป็นตัวแทนสื่อถึงคุณค่าแห่งความสวยงามในทุกมิติ บวกด้วยคุณสมบัติและความเป็นเลิศทางเทคนิคที่ผนึกความมั่นใจได้ถึงชื่อเสียงของคอลเลคชั่น บิ๊ก แบง และอุทิศศรัทธาอันแรงกล้ามากยิ่งขึ้นต่อคติพจน์ “Art of Fusion” ศิลปะแห่งการผสมผสานของเรา เราต้องการให้นาฬิกา บิ๊ก แบง อี หลอมรวมเป็นหนึ่งซึ่งวัสดุทางเทคนิคอันล้ำสมัยสูงสุดของ Hublot เข้ากับนวัตกรรมล่าสุดจากโลกดิจิทัลของวันนี้

บิ๊กแบง อี เต็มไปด้วยเทคโนโลยีอันซับซ้อนและล้ำสมัย เรือนเวลารุ่นนี้สอดรับอย่างสมบูรณ์แบบเข้ากับประเพณีการประดิษฐ์นาฬิกาของ Hublot ผ่านรหัสการสร้างสรรค์ทั้งหมดที่ได้ช่วยสร้างซึ่งชื่อเสียงของแบรนด์ และทำให้เป็นที่รู้จักอย่างทันทีโดยเหล่าผู้ซึ่งหลงใหลในเรือนเวลาและสาธารณชนเช่นกัน พันธุกรรมที่ดีนี้จึงส่องประกายแสงเจิดจรัสได้เสมอ!

ด้วยตัวเรือนซึ่งตัดออกจากวัสดุต่างๆ อาทิ เซรามิกสีดำหรือไทเทเนียม ภายใต้โครงสร้างแบบ “แซนด์วิช” สไตล์แห่งนวัตกรรมที่คิดค้นและประดิษฐ์ขึ้นโดย Hublot ในปี 2005 ด้วยความซับซ้อนอย่างสูงสุด

ตัวเรือนนี้ประกอบขึ้นจากชิ้นส่วนถึง 42 ชิ้น โดย 27 ชิ้นในนี้เป็นส่วนหนึ่งของ เค โมดูล (K Module) เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ขณะที่ “กรง” ทำหน้าที่บรรจุไว้ด้วยหัวใจดิจิทัลของนาฬิกา

ส่วนงานออกแบบของสกรูและปุ่มกด กระจกคริสตัลแซฟไฟร์กันรอยขีดข่วน และสายยาง-พร้อมทั้งหัวเข็มขัดปรับได้ที่คิดค้นขึ้นโดย Hublot ในปี ค.ศ. 1980 สำหรับนาฬิการุ่นคลาสสิค (Classic) และระบบ วัน คลิก (One Click) ซึ่งผ่านการจดสิทธิบัตรสำหรับถอดเปลี่ยนสลับสายได้อย่างง่ายดาย ล้วนเป็นองค์ประกอบที่แสดงออกถึงความอัจฉริยะของ Hublot อย่างไร้ข้อกังขา ผ่านองค์ประกอบหนึ่งสู่องค์ประกอบหนึ่งที่หลอมรวมกันเป็นนาฬิกา บิ๊ก แบง อย่างแท้จริง! 

นาฬิกา บิ๊ก แบง อี มีให้เลือกในตัวเรือนขนาด 42 มม. ทำจากไทเทเนียมหรือเซรามิก ขณะที่ตัวเลขบอกชั่วโมงสีโลหะติดตั้งอยู่ใต้กระจกคริสตัลแซฟไฟร์กันรอยขีดข่วนซึ่งหุ้มทับด้วยหน้าจอทัชสกรีนความละเอียดสูง AMOLED และเหมือนกันกับในเวอร์ชั่นนาฬิกาจักรกลของบิ๊ก แบง ที่เม็ดมะยมปรับหมุนได้ของรุ่นนี้ยังผสานไว้ด้วยปุ่มกดสำหรับเปิดการใช้งานและควบคุมโมดูลอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งพัฒนาขึ้นโดยความร่วมมือกับแบรนด์อื่นๆ ภายใน LVMH Group นาฬิการุ่นนี้จึงสามารถปรับประยุกต์และบรรจบกับทุกๆ ความต้องการของอูโบลท์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

Hublot ยังถ่ายทอดความเชี่ยวชาญทางประเพณีการประดิษฐ์นาฬิกาลงสู่สิ่งแวดล้อมทางดิจิทัลใหม่ โดยนักออกแบบใน Nyon ได้ร่วมมือกันพัฒนาหลากหลายฟังก์ชั่นการใช้นาฬิกาขึ้นมาใหม่ ซึ่งนอกเหนือจากฟังก์ชั่นแสดง "เวลาเพียงอย่างเดียว" (“Time Only”) ในรูปแบบอะนาล็อกแล้ว บิ๊ก แบง อี ยังบรรจุด้วยการตีความสุดเอ็กซ์คลูซีฟจากความสลับซับซ้อนของนาฬิกาตามประเพณี เช่นการแสดงปฏิทิน Perpetual Calendar พร้อมทั้งแสดงข้างขึ้นข้างแรมอย่างชัดเจนและแม่นยำ

หรือการแสดงเวลาไทม์โซนที่สอง (GMT) ซึ่งแสดงผ่านภาพของโลกในวิถีเสมือนจริงอย่างมาก โดยฟังก์ชั่นเหล่านี้ได้รับการปลุกฟื้นและเสริมข้อได้เปรียบจากการพัฒนาสิ่งที่จะสามารถเป็นไปได้สำหรับนำเสนอด้วยวิถีใหม่ของโลกดิจิทัล และแม้ว่าจะเป็นเทคโนโลยีแบบติดตั้งสำเร็จหรือ built-in Hublot ยังคงสร้างความเชื่อมั่นด้วยการรับประกันประสิทธิภาพการกันน้ำของนาฬิการุ่นนี้ได้ถึงระดับความลึก 30 เมตร

เรือนเวลารุ่นนี้ขับเคลื่อนด้วยระบบปฏิบัติการ Wear OS by Google™ บิ๊ก แบง อี สามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการของเจ้าของสู่ประสบการณ์สุดล้ำแบบนาฬิกาสมาร์ทวอทช์ โดยผู้ใส่จะสามารถเข้าถึงแอปพลิเคชันต่างๆ บน Google Play ได้อย่างสะดวกสบาย และได้รับคำตอบอย่างฉับไวในทุกสถานการณ์ด้วย Google Assistant รวมถึงใช้จ่ายได้อย่างง่ายดายและรวดเร็วด้วย Google Pay

และเพื่อมอบประสบการณ์เฉพาะบุคคลได้มากยิ่งขึ้น ผู้ใส่ยังสามารถปัดหน้าจอไปสู่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ รวมทั้งติดตามสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงทีด้วยการแจ้งเตือนและข้อความ นอกจากนี้ หน้าปัดของนาฬิกายังออกแบบขึ้นพิเศษโดยเหล่า Brand Ambassador และ Friends of the Brand ผู้เปี่ยมด้วยพรสวรรค์ของ Hublot ที่จะค่อยๆ เผยโฉมออกมาให้ได้ติดตามกันอย่างต่อเนื่อง

โดย บิ๊ก แบง อี จะเปิดตัวนาฬิกาเอดิชั่นแรกซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ #HublotLovesArt ด้วยตัวเลือกของซีรีส์หน้าปัดแปดรูปแบบ ซึ่งได้มาจากภาพจินตนาการของศิลปินนักเล่าเรื่องอย่าง Marc Ferrero โดยทุกๆ สามชั่วโมง หน้าปัดนี้จะเปลี่ยนสีไป ซึ่งนั่นหมายความว่าหน้าปัดทั้งแปดรูปแบบจะแสดงไปตามลำดับตลอดช่วงระยะเวลา 24 ชั่วโมง

โดยแต่ละหน้าปัดจะมีเอกลักษณ์ของสีเฉพาะตัว ได้แก่ แฮปปี้ เยลโล่ (Happy Yellow), เมจิก บลู (Magic Blue), ออเรนจ์ ไดนาไมต์ (Orange Dynamite), ออล ไวท์ (All White), ลัคกี้ กรีน (Lucky Green), เมจิก เรด (Magic Red), เรนโบว์ สปิริต (Rainbow Spirit) และแบล็ก เมจิก (Black Magic)

แต่ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น เพราะทุกๆ หนึ่งชั่วโมงเต็มจะแสดงด้วยภาพแอนิเมชั่นที่ปรากฏขึ้นนานห้าวินาที ซึ่งนับเป็นวิถีแห่ง #HublotLovesArt ที่มาช่วยเติมสัมผัสแห่งสีสันและจังหวะให้กับแต่ละช่วงเวลาที่แตกต่างกันได้ตลอดทั้งวัน!

บิ๊ก แบง อี จะผลิตในสองเวอร์ชั่นแตกต่างกัน คือตัวเรือนไทเทเนียม และตัวเรือนแบล็ก เมจิก ทำจากเซรามิกสีดำ และยังนับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของ Hublot ที่นาฬิการุ่นนี้จะจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์บนเว็บไซต์ของแบรนด์ เช่นเดียวกับเครือข่าย Wechat ในประเทศจีน และหลังจากนั้นจึงจะมีวางจำหน่ายภายในบูติกและเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายต่อไป