ผู้เขียนเคยลองดื่มไวน์จากถ้วยกาแฟเพราะแก้วไวน์ในงานปาร์ตี้หมดกล่อง ปรากฏว่ากลิ่นของไวน์ไม่อวลขึ้นมาในจมูกอย่างเคยและทำให้รสชาติขมปร่า ในขณะนั้น ผู้เขียนคิดไปว่า รสชาติแปลกๆ อาจจะเป็นเพราะอุปาทานที่เกิดจากการจิบไวน์ด้วยแก้วกาแฟซึ่งดูผิดฝาผิดตัวอย่างมาก
กระทั่งเมื่อปลายปีที่ผ่านมา แบรนด์แก้วไวน์คริสตัลสัญชาติไทย
“ลูคาริส” (Lucaris) จัด Wine Pairing Class หรือห้องเรียนการจับคู่ไวน์กับอาหารขึ้นที่เกาะฮ่องกง โดยเชิญ
Sarah Heller ไวน์มาสเตอร์อายุน้อยที่สุดในโลกมาเป็นวิทยากรผู้บรรยาย ห้องเรียนครั้งนี้เสมือนเป็นการทดลองทางวิทยาศาสตร์เพื่อพิสูจน์ว่า แก้วไวน์ ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อความสวยงามเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเครื่องมือที่ทำให้รสและกลิ่นของไวน์แตกต่างกันในขั้นตอนสุดท้าย
ห้องเรียนครั้งนี้จัดเซ็ตอาหารคู่กับไวน์ทั้งหมด 4 เซ็ต ทั้งไวน์ขาว ไวน์แดง และไวน์หวาน โดยเลือกจับคู่กับอาหารเอเชีย ในแต่ละเซ็ต Heller จะใช้แก้วไวน์ของลูคาริสจากต่างคอลเล็กชันกัน 3 แบบ ได้แก่
Desire, Hong Kong Hip และ Shanghai Soul เพื่อแสดงให้เห็นว่ารูปทรงแก้วไวน์ที่แตกต่างกันมีผลต่อรสชาติไวน์มากเพียงใด
เซ็ตที่ 1 ไวน์ขาว Cuvee Alexandre Chardonnay Lapostolle 2013 จับคู่กับป่อเปี๊ยะและซอสหวาน
เซ็ตแรกเริ่มต้นด้วยไวน์ขาวกับป่อเปี๊ยะ น่ามหัศจรรย์ที่ไวน์ในแต่ละแก้วให้รสชาติที่ต่างกันเสมือนมาจากคนละขวด Heller อธิบายเหตุผลที่ทำให้เกิดความแตกต่างเช่นนี้ว่า แก้ว Rich White Glass (ซ้ายมือสุด) เป็นทรงเตี้ยและกระเปาะแก้วค่อนข้างกว้าง ทำให้ไวน์มีพื้นที่สัมผัสอากาศมากกว่า เกิดเป็นกลิ่นหอมอวลและช่วยดึงรสหวานเด่นจากซอสบ๊วยของป่อเปี๊ยะ ขณะที่แก้วแบบ Chardonnay Glass ซึ่งเป็นทรงตรงสูงมากกว่า ทำให้กลิ่นของไวน์แหลมพุ่งเข้าสู่จมูก ทั้งยังทำให้ป่อเปี๊ยะรสเค็มมากยิ่งขึ้น
Heller ผู้นำห้องเรียนขอเสียงโหวตจากผู้เข้าร่วมทั้งห้องว่าชอบไวน์ในแก้วแบบใดมากที่สุด ซึ่งในกรณีนี้มีคนจำนวนมากที่เลือก Rich White Glass ที่ดึงกลิ่นหอมของไวน์ได้ดี
เซ็ตที่ 2 ไวน์แดง Sicilia DOC Nero d’Avola, Sallier de La Tour 2015 จับคู่กับหมูหัน
ทันทีที่ Heller ให้ยกมือโหวต ครั้งนี้เสียงแตกต่างกันอย่างน่าประหลาดใจ ผู้เข้าร่วมชั้นเรียนยกมือให้กับดีไซน์แก้วแต่ละแบบจำนวนใกล้เคียงกัน
ในเซ็ตนี้แก้วที่น่าสนใจคือ Burgundy Glass (ใบกลางและใบขวามือ) Burgundy Glass จากคอลเล็กชัน Hong Kong Hip เธอมองว่าทำให้กลิ่นแร่ธาตุออกมาได้อย่างชัดเจน ขณะที่แก้วจากคอลเล็กชัน Shanghai Soul ซึ่งกระเปาะกลมมนกว่าและมีขอบแก้วบานออกทำให้กลิ่นไวน์กลมกล่อมและหมูหันอร่อยยิ่งขึ้น
เซ็ตที่ 3 ไวน์แดง Cabernet Sauvignon, Nashwauk 2012 จับคู่กับเนื้อทอดเกลือและพริกไทย
เป็นอีกหนึ่งเซ็ตที่ทำให้ไวน์ในแต่ละแก้วต่างกันอย่างชัดเจน Heller พูดถึงแก้ว Robust Red Glass ซ้ายมือสุดก่อนว่าดีไซน์กระเปาะแก้วกว้างแต่ปากแก้วแคบทำให้กลิ่นผลไม้พุ่งสู่จมูก
ขณะที่แก้ว Bordeaux Glass ของคอลเล็กชัน Hong Kong Hip ที่ออกแบบเป็นทรงเหลี่ยมตรงจะดึงกลิ่นแร่ธาตุออกมาแทนกลิ่นผลไม้ ปิดท้ายด้วยแก้วของคอลเล็กชัน Shanghai Soul ที่กระเปาะกลมมนทำให้กลิ่นและรสทั้งหมดรวมตัวและเข้าสู่ประสาทสัมผัสของเราพร้อมๆ กัน โดยเธอมองว่าเป็นแก้วที่ดึงรสชาติไวน์ออสเตรเลียนขวดนี้ได้ดีและชูรสเนื้อทอดให้ดียิ่งขึ้น
เซ็ตที่ 4 ไวน์หวาน Recioto di Soave La Broia DOCG, Roccolo Grassi 2013 จับคู่กับไข่หงส์ไส้งาดำ
ปิดท้ายที่ของหวานและไวน์หวาน ไวน์มาสเตอร์ของเราอธิบายว่าการเลือกคู่อาหารและไวน์ในหมวดของหวานของเอเชียยิ่งน่าสนใจ เพราะของหวานของเอเชียมักจะไม่มีผลไม้เป็นส่วนประกอบและออกรสเค็ม ซึ่งต่างจากขนมตะวันตก ทำให้การจับคู่กับไวน์ท้าทายมากขึ้น
ไวน์หวานในแก้วแบบ Universal Glass ซึ่งกระเปาะกว้างที่สุดในแก้ว 3 ใบทำให้รสไวน์หวานที่สุดและกลิ่นหอมฟุ้งในจมูก เข้ากันได้ดีกับของหวานอย่างสมดุล ขณะที่แก้ว Chardonnay Glass ทรงตรงสูงทำให้รสเปรี้ยวของกรดตามธรรมชาติในไวน์ออกมาผสมกับความหวานและให้รสฝาดของแทนนินมากขึ้น และแก้วใบสุดท้าย Riesling Glass กระเปาะกลมมนทำให้กลิ่นดอกไม้หอมขึ้น รสชาติเบาขึ้น แต่ Heller มองว่าอาจจะส่งเสริมของหวานชนิดนี้ได้ไม่ดีนัก
ถึงแม้ Heller จะมีตัวเลือกแก้วที่เธอชื่นชอบสำหรับแต่ละเซ็ต แต่เธอบอกเช่นกันว่า
ตัวเลือกแก้วไวน์หรือรสชาติของไวน์ที่แต่ละคนชื่นชอบนั้น “ไม่มีผิดหรือถูก” เพราะการรับรู้สัมผัสจากไวน์เป็นเรื่องเฉพาะตัวบุคคล ดังนั้น แก้วไวน์จึงมีหลายแบบเพื่อขับเน้นไวน์แต่ละชนิดในรูปแบบต่างๆ กัน และถูกรสนิยมของคนต่างกันไป
“ฉันคิดว่าแก้วไวน์เป็นเหมือนเสื้อผ้าของคน เสื้อผ้าที่ใส่ทำให้เรามีภาพลักษณ์ที่แตกต่างต่อผู้พบเห็น อย่างเช่นถ้าฉันอยากจะดูเป็นทางการฉันอาจจะใส่สูท ไวน์ก็เช่นเดียวกัน แก้วไวน์ทำให้รสและกลิ่นที่ปรากฏแตกต่าง และแก้วไวน์คือขั้นตอนสุดท้ายของการดื่มที่มีคุณภาพ” Heller กล่าวสรุป