Armani: A Brand That Spells Success - Forbes Thailand

Armani: A Brand That Spells Success

FORBES THAILAND / ADMIN
20 Apr 2016 | 12:16 PM
READ 5881
จะมีแฟชั่นดีไซเนอร์ระดับโลกสักกี่คนที่กล้าก้าวออกจากกรอบเดิมๆ และเพิ่มเติมความท้าทายใหม่ให้ชีวิตอย่างไม่เคยหยุดนิ่ง แต่ Giorgio Armani สามารถทำได้ และเส้นทางตลอด 4 ทศวรรษของเขาก็มีสีสันน่าตื่นเต้นอยู่เสมอ Forbes Life ขออาสาเป็นไกด์พาเที่ยวฮ่องกง ทอดสายตาดูอาณาจักร Armani ที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์สุดชิคแทบทุกด้านในชีวิตคุณ หาก Giorgio Armani ตัดสินใจเลือกเรียนด้านการแพทย์ต่อ โลกก็คงไม่ได้อ้าแขนต้อนรับหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลแห่งวงการแฟชั่นผู้นี้อย่างแน่นอน Armani ผู้สร้างชื่อให้โปรดัคท์ “Made in Italy” ของเขาโด่งดังไปทั่วโลก เกิดเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม ปี 1934 ที่เมือง Piacenza ทางตอนเหนือของอิตาลี และเข้าเรียนด้านการแพทย์ที่ University of Piacenza แต่หลังจากผ่านไปราว 2 ปี Armani ก็พบว่านั่นไม่ใช่เส้นทางของเขาเลยสักนิด จึงหันหลังให้การเรียนแพทย์ในปี 1957 และเข้าช่วยงานในกองทัพอิตาลี ก่อนจะหันเหไปทำงานด้านจัดซื้อที่ห้างสรรพสินค้า La Rinascente ในกรุง Milan ที่นั่นเองที่เขาเริ่มค้นพบพรสวรรค์ด้านแฟชั่นที่ซ่อนอยู่ในตัว และยิ่งเปล่งประกายชัดขึ้นเมื่อได้ทำงานร่วมกับ Nino Cerruti แฟชั่นดีไซเนอร์ชื่อดัง จากนั้น Armani ก็ก้าวเข้าสู่โลกแห่งการเป็นแฟชั่นดีไซเนอร์อย่างเต็มตัว มีสไตล์เป็นที่ชื่นชอบของลูกค้ามากขึ้นเรื่อยๆ และแล้ว วันที่ 24 กรกฎาคม ปี 1975 ก็เป็นจุดเริ่มต้นประวัติศาสตร์หน้าแรกของ Giorgio Armani S.p.A. แฟชั่นเฮาส์ที่ Armani และเพื่อนของเขาคือ Sergio Galeotti ร่วมกันก่อตั้ง นำเสนอเสื้อผ้าในชื่อแบรนด์ Giorgio Armani มีจุดเด่นอยู่ที่การออกแบบตัดเย็บอย่างประณีตทุกขั้นตอน และสไตล์ที่หรูคลาสสิค ชื่อเสียงของแบรนด์ Giorgio Armani ดังข้ามน้ำข้ามทะเลไปถึงสหรัฐอเมริกา ไปสู่ความชื่นชอบของบุคคลผู้มีชื่อเสียงและเซเลบริตี้ และไปสู่การออกแบบเครื่องแต่งกายให้ภาพยนตร์ที่นับถึงตอนนี้แล้วมีกว่า 200 เรื่อง ไม่ว่าจะเป็น American Gigolo, The Untouchables, Final Analysis, The Dark Knight, The Wolf of Wall Street ฯลฯ บุคลิกเด่นของนักแสดงมากฝีมือหลายคน ทั้ง Richard Gere, Kevin Costner, Judie Foster, Christian Bale, Leonardo DiCaprio ล้วนแล้วแต่ถูกขับเน้นให้ดูสมาร์ทในชุดสูทคัตติ้งเนี้ยบจากแบรนด์สายเลือดอิตาลี ซึ่งยิ่งทำให้ Giorgio Armani  เป็นแบรนด์ที่ได้รับการกล่าวขวัญถึงไปทั่วโลก ในเวลาต่อมา เมื่อ Armani ตัดสินใจขยายความรักอันไม่สิ้นสุดในแฟชั่นของเขา ไปสู่การสร้างสรรค์แบรนด์เครื่องแต่งกายอื่นๆ และแอคเซสซอรีส์ ก็ได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดีจากทั่วโลก Armani ยังนำแฟชั่นเข้าไปสู่แวดวงกีฬา นอกจากจะเป็นแฟนตัวยงของทีมฟุตบอล Inter Milan ของอิตาลี เขายังชื่นชอบทีมฟุตบอล Chelsea บนเกาะอังกฤษ และเคยออกแบบชุดสูทให้นักฟุตบอลทีมนี้มาแล้ว แถมยังประกาศศักดิ์ศรีความเป็นดินแดนแห่งแฟชั่นของอิตาลี ด้วยการออกแบบชุดยูนิฟอร์มให้นักกีฬาทีมชาติอิตาลีในการแข่งขันโอลิมปิก ปี 2012 อีกด้วย ความสำเร็จและชื่อเสียงที่ Armani ได้รับอย่างท่วมท้น ทำให้มีนักเขียนหลายคนถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตของเขาผ่านตัวอักษร หรือไม่ก็ถ่ายทำเป็นสารคดี แต่นั่นก็ไม่เท่ากับการบอกเล่าด้วยตัวเอง ปีที่ผ่านมา ซึ่งครบรอบ 40 ปี ของ Giorgio Armani S.p.A. นั้น Armani วัย 81 ปี ผู้เป็น President และ Chief Executive ของ Armani Group หนึ่งในบริษัทชั้นนำด้านลักชัวรีโปรดัคท์ของโลก และเป็นบุคคลที่ติดอันดับ 174 ในรายชื่อมหาเศรษฐีโลก ปี 2015 จัดโดย Forbes ด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 7 พันล้านเหรียญ จึงลุกขึ้นมาจัดทำหนังสืออัตชีวประวัติของตนขึ้นเองเสียเลย ใช้ชื่อหนังสือได้ใจความอย่างถึงที่สุด นั่นคือ “Giorgio Armani” พาผู้อ่านเดินทางเข้าไปในโลกแห่งตัวตนของ Armani ผ่านภาพถ่ายแห่งความทรงจำแต่ละช่วงวัย ซึ่งภาพถ่ายทั้งหมด Armani คัดเลือกด้วยตัวเอง เพื่อจะได้อธิบายถึงชีวิตและอาชีพการงานของเขาตลอดระยะเวลา 40 ปีได้อย่างชัดเจนที่สุด The Armani Empire เมื่อ Club 21 (Thailand) ชวน Forbes Life เดินทางสู่อาณาจักร Armani ที่ฮ่องกง เราจึงตอบรับทันทีอย่างไม่รีรอ ที่ Chater House ในเขต Central หนึ่งในย่านสำคัญของฮ่องกง คือศูนย์รวม concept store ของแบรนด์ต่างๆ ใต้ร่ม Armani Group รวมถึงร้านอาหารสุดหรูที่ Armani ร่วมก่อตั้ง concept store บนพื้นที่ 2 ชั้นของ Giorgio Armani เตะตาตั้งแต่แรกเห็นด้วยการนำไม้ไผ่มาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบ ส่วนภายในละลานตาด้วยเสื้อผ้าและแอคเซสซอรีส์ คอลเล็กชั่น Spring/Summer 2016 ยังคงซิกเนเจอร์ของแบรนด์ไว้อย่างครบถ้วน เสื้อผ้าบุรุษเน้นลวดลาย สีสัน และเนื้อผ้าที่หลากหลาย อย่างผ้าไหมเนื้อเรียบเนียน และผ้าวูลลายตารางที่นำมาตีความใหม่ให้ดูผ่อนคลายและร่วมสมัย ส่วนเสื้อผ้าสตรีมาพร้อมเฉดแดงไล่โทนสีที่ต่างกัน พร้อมนำเทคนิคของผ้าซีทรูมาใช้ เพื่อขับความอ่อนโยนของผู้หญิงให้เด่นชัดยิ่งขึ้น ถัดไปไม่กี่ก้าวคือ concept store ของ  Armani  ที่เน้นการออกแบบเสื้อผ้าให้ทันสมัย ใส่ลูกเล่นและความเปรี้ยวนิดๆ เหมาะกับกลุ่มวัยหนุ่มสาว แน่นอนว่าเราได้เห็นคอลเล็กชั่นล่าสุด Spring/Summer 2016 ด้วยเช่นกัน เสื้อผ้าบุรุษเด่นด้วยการเชื่อมโยงโลกตะวันตกและตะวันออกเข้าด้วยกัน สะท้อนผ่านสีสันที่ใช้ ไม่ว่าจะเป็น น้ำเงิน เทา เขียว น้ำตาลอมเทา สีเทาปนเบจ ซึ่งเป็นสีโปรดของ Armani ส่วนเสื้อผ้าสตรีเน้นรูปทรงหลวม และชุดเดรสทรงอสมมาตร เผยให้เห็นความกระฉับกระเฉงและความเคลื่อนไหวที่ไม่หยุดนิ่ง ใกล้กับที่ตั้งของ Emporio Armani คือแบรนด์ Armani Junior ที่ต้องการให้เด็กๆ ได้สนุกกับการแต่งตัวในสีสันที่หลากหลาย Armani ยังแตกไลน์เอาใจกลุ่มลูกค้าที่มีสไตล์การแต่งตัวแตกต่างกันไป เขาสร้างสรรค์แบรนด์ Armani Privé ที่เน้นความเป็น haute couture มีลูกค้าประจำเป็นนักแสดงฮอลลีวูดและเซเลบริตี้ชื่อดังระดับโลก ส่วน Armani Collezioni หวนคืนสู่ความเรียบง่าย คลาสสิค เหมาะกับวันที่ต้องการความเป็นทางการ แต่หากชอบลุคที่สบายๆ หรือดูทะมัดทะแมง เสื้อผ้ายีนส์จาก AJ Armani Jeans หรือแนวสตรีทเก๋ๆ จาก A/X Armani Exchange ซึ่งเมื่อแรกตั้งต้องการเจาะตลาดสหรัฐอเมริกาโดยเฉพาะ แต่ภายหลังได้ขยายไปทั่วโลก ก็ช่วยตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี อีกมุมใน Chater House ที่น่าจะเหมาะกับหญิงสาวที่ชื่นชอบการแต่งแต้มสีสันบนใบหน้า คือ Giorgio Armani Cosmetics และเพียงแค่เดินเข้าไปใน Armani Flori คุณก็จะได้ดอกไม้สวยๆ ไว้มอบให้คนที่คุณรัก การขยายธุรกิจเพื่อตอบไลฟ์สไตล์ของคนทุกเพศทุกวัยนี้เอง ทำให้รายได้รวมในปี 2014 ของ Giorgio Armani S.p.A. อยู่ที่ราว 2.53 พันล้านยูโร หรือราว 2.73 พันล้านเหรียญ โตจากปี 2013 ราว 16% และนับถึงต้นปีนี้ มีบูทีค Giorgio Armani 166 แห่ง Emporio Armani 324 แห่ง Armani Collezioni634 แห่ง AJ Armani Jeans 779 แห่ง A/X Armani Exchange 276 แห่ง และ Armani Junior170 แห่ง กระจายตัวอยู่ในกว่า 60 ประเทศทั่วโลกเลยทีเดียว Armani Gastronomy ความคิดสร้างสรรค์ของ Armani ไม่หยุดไว้เพียงแวดวงแฟชั่น แต่เขายังขยายแพสชั่นในการสร้างสิ่งที่สมบูรณ์แบบไปสู่ความรักในด้านอื่นๆ เช่น Food & Beverage เกิดเป็น Armani/Aqua ร้านอาหารที่ Armani ก่อตั้งร่วมกับ Aqua Restaurant Group ตั้งอยู่ที่ Chater House เช่นเดียวกับ concept store ของแบรนด์ที่เขาปลุกปั้น Armani/Aqua เปิดตัวในปี 2011 ต้อนรับทุกคนด้วยทางเดินที่สองข้างทางประดับด้วยเสาโค้ง ทอดยาวสู่บานประตูที่เมื่อเปิดออกจะพบกับร้านอาหารซึ่งออกแบบตกแต่งแบบร่วมสมัย หยอดกลิ่นอายความเป็นตะวันออกทั้งโทนสีแดงและเฟอร์นิเจอร์สไตล์จีน ส่วนเมนูมีทั้งอาหารอิตาเลียนและญี่ปุ่น ซึ่งเชฟคัดสรรแต่วัตถุดิบชั้นเลิศมาปรุงเสิร์ฟให้คุณโดยเฉพาะ ช่วยสร้างบรรยากาศของมื้ออาหารให้เป็นประสบการณ์แสนประทับใจยิ่งขึ้น ตกเย็น คุณสามารถย้ายไปนั่งจิบเครื่องดื่มพร้อมสังสรรค์กับกลุ่มเพื่อนผู้รู้ใจได้ที่ Armani/Privé ซึ่งเปิดมาแล้วทั้งที่ Milan, Tokyo และ Dubai ก่อนจะขยายมาสู่ฮ่องกงที่ Chater House เราขอแนะนำโซนเอาท์ดอร์ หากคุณต้องการความมีชีวิตชีวาและชื่นชมแสงสียามค่ำคืนของเกาะที่ไม่เคยหลับใหลแห่งนี้ Armani Hotels & Residences พลังอันล้นเหลือของ Armani ผลักให้เขาเปิดประตูสู่โลกใบใหม่ ด้วยการจับมือกับนักธุรกิจชั้นนำรวมถึงบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ สร้างโรงแรมและเรสิเดนซ์ระดับไฮเอนด์ ที่ไม่ใช่แค่ “ทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์” แต่เข้าขั้น “ทอล์ค ออฟ เดอะ เวิลด์” Armani Hotel Dubai ซึ่งตั้งอยู่ในอาคารที่สูงที่สุดในโลกอย่าง Burj Khalifa เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ในปี 2010 ประกอบไปด้วยห้องพักจำนวน 160 ห้อง และร้านอาหาร 8 แห่ง ทั้งยังมี Armani Residencesอีก 144 ห้อง ให้ความเป็นส่วนตัวอย่างสูงสุด ภายในตกแต่งโดย Armani/Casa Interior Design Studio ที่โดดเด่นด้านการออกแบบภายในและผลิตเฟอร์นิเจอร์ระดับไฮเอนด์ ตามด้วย Armani Hotelที่ Milan เน้นการออกแบบร่วมสมัยที่ขับเน้นแสงให้โดดเด่น ดีเอ็นเอของการออกแบบสไตล์ Armani คือความสมบูรณ์แบบอย่างถึงที่สุด โดยนำเอาเอกลักษณ์ของแต่ละแห่งมาเป็นจุดเด่น อย่าง The World Towers ใน Mumbai ประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นอาคารที่พักอาศัยที่สูงที่สุดในโลก ทีมงานของ Armani ก็ได้มีส่วนร่วมออกแบบตกแต่งภายใน โดยนำเอา “jali” ซึ่งหมายถึง “ตาข่าย” ในวัฒนธรรมอินเดียมาใช้เพื่อเล่นกับแสงและเงา Art Residences ในเมือง Chengdu ของจีน ก็นำเอาไม้ไผ่และคลื่นมาตีความใหม่ หรือ Residences by Armani/Casa ใน Miami สหรัฐอเมริกา ก็นำศิลปะ Art Deco ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมหลักของเมือง มาผสมผสานกับสไตล์แบบ Armani ได้อย่างลงตัว แม้ที่ฮ่องกงจะยังไม่มีโรงแรมหรือเรสิเดนซ์ใดๆ ที่ออกแบบโดยทีมงานของ Armani แต่ความเป็นตัวตนของเขาที่กระจายไปทั่วโลกก็ทำเราอดทึ่งไม่ได้ นับตั้งแต่ปี 1975 Giorgio Armani ไม่เคยหมดพลังในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ และนั่นทำให้เขาเหมาะสมกับตำแหน่งผู้ครองบัลลังก์แห่งอาณาจักร Armani โดยแท้จริง
คลิ๊กอ่าน "Armani: A Brand That Spells Success" ฉบับเต็มได้ที่ ForbesLife Thailand ฉบับ MARCH 2016 ในรูปแบบ E-Magazine