อนันดา เอเวอริ่งแฮม : “นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์” คนใหม่ - Forbes Thailand

อนันดา เอเวอริ่งแฮม : “นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์” คนใหม่

FORBES THAILAND / ADMIN
07 Jul 2014 | 05:04 PM
READ 2841

เขาเรียกสิ่งที่เกิดขึ้นว่า “เหตุบังเอิญ” ทำให้ได้เล่นภาพยนตร์ "อันดากับฟ้าใส" ในปี 2540 แม้เพียงเรื่องแรกแต่ก็ฝากฝีไม้ลายมือให้ผู้ชมประทับใจไม่น้อย และเมื่อรู้แน่ชัดว่านี่คือถนนสายที่รัก เขาก็ไม่รอช้ามุ่งมั่นทุ่มเทพัฒนาทักษะการแสดงอย่างเต็มที่ ตีบทแตกทุกครั้งในผลงานกว่า 20 เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ, สะบายดี หลวงพระบาง, ชั่วฟ้าดินสลาย, อินทรีแดง ฯลฯ  พร้อมกวาดรางวัลนักแสดงคุณภาพจากหลายเวที

ด้วยความที่เป็นคนรักอิสระ ใช้ชีวิตหาประสบการณ์ใหม่ๆ บางวันอาจเป็นหนุ่มสังคมออกงานหรูได้อย่างไม่เคอะเขิน ทว่า บางคราวเขาก็อาจหลีกเร้นความวุ่นวายในเมืองใหญ่ไปใช้ชีวิตเงียบสงบห่างไกลแสงสี หลายคนจึงตีตรานักแสดงหนุ่มว่า “ติสต์แตก” แต่เขากลับหัวเราะร่วนแล้วกล่าวว่า “ผมแค่แตกต่างเท่านั้นแหละ” วันนี้ "อนันดา เอเวอริ่งแฮม" ในวัย 31 ปีหนุ่มลูกครึ่งออสเตรเลียน-ลาว ยังคงสนุกและมีความสุขกับบทบาทท้าทายต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิต ทั้งในโลกจอเงิน และล่าสุดกับการเป็นนักธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ อย่างที่เขาบอกว่า “ผมติสต์ได้...แต่ผมก็เป็นนักธุรกิจได้เหมือนกัน” พระเอกหนุ่มเริ่มบทสนทนากับ Forbes Thailand ด้วยการเล่าถึงประสบการณ์การเล่นหนังเมื่อครั้งวัยรุ่นว่า คิดจะรับแต่บทดราม่าเท่านั้น เพราะตีความไปเองว่า บทที่จริงจังเป็นการเปิดโอกาสให้ได้แสดงฝีมือมากกว่า แต่เมื่อเรียนรู้การแสดงจาก ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล ผู้กำกับภาพยนตร์ที่เขายกให้เป็นครูและนักแสดงมากฝีมือคนอื่น ทำให้กลับมาคิดทบทวนใหม่ว่า ชีวิตที่กลมกลืนและมีความรอบด้านคือชีวิตที่ครบกว่า การมองหนังตลกไม่มีคุณค่านั้นเป็นเรื่องสมมติทั้งสิ้น กฎหลักของการเป็นนักแสดงคือห้ามยึดอีโก้ และต้องเปิดโอกาสให้ตัวละครมีชีวิตโลดแล่นขึ้นมาให้ได้ ดังนั้นอนันดาจึงเริ่มมองตัวเองให้น้อยลง และให้ความสำคัญกับบทว่าให้คุณค่าอะไรกับคนดูมากขึ้น เรื่องท้าทายสำหรับอนันดาในตอนนี้ จึงเป็นโปรเจ็กต์บ้านทรายทอง ที่เขาหมายมั่นปั้นมือว่า อยากทำสักครั้งในชีวิต ตีความในแบบของตัวเอง สร้างบรรยากาศย้อนยุคไปเมื่อเกือบร้อยปีก่อน บ้านเมืองซบเซา พจมานที่เหมือน Scarlett O’Hara ในเรื่อง Gone with the Wind เดินทางออกนอกเมืองไปอาศัยอยู่บ้านทรายทองอันทรุดโทรมซึ่งตั้งอยู่กลางทุ่งกว้างอันแห้งแล้งเหมือนจิตใจของสมาชิกในบ้าน ส่วนชายกลางเป็นใครไปไม่ได้นอกจากตัวเขาเอง “ผมอาจจะตีความ dark ไปก็ได้ เจ้าของบทประพันธ์คงไม่ยอมหรอก” เจ้าตัวบอกกลั้วหัวเราะ ทุกครั้งหลังจากได้รับมอบหมายงานมาแล้ว สิ่งที่อนันดาทำคือศึกษาบทให้ถ่องแท้ตีความตัวละครอย่างละเอียด หลายครั้งที่เขาจมดิ่งในห้วงความคิดด้านการแสดง เครียดจนนอนไม่หลับ เมื่อถามว่าเป็น perfectionist หรือไม่ เขานิ่งคิดพักหนึ่ง ก่อนบอกว่า “Just the way I am ถ้าผมรู้ว่ามาตรฐานที่สูงอยู่ตรงไหน ผม ignore ไม่ได้ และต้อง strive ให้ถึงมาตรฐานนั้น ผมไม่สามารถบอกได้ว่า เอ๊ะ...ที่เป็นอยู่ก็ดีแล้ว ไม่มีข้ออ้างที่จะบอกว่าเราไม่ควรทำให้ดีขนาดนั้น และเมื่อรู้ก็ต้อง push ตัวเองให้อยู่ตรงนั้นให้ได้แค่นั้นเอง ผมเลยศึกษาอาชีพตัวเองค่อนข้างลึก เรียนรู้ประวัติศาสตร์เพราะมีผลต่อหนัง ละครไม่ใช่ว่าอยากดังหรือให้คนชม แต่ผมคิดว่าเราควรมีเป้าหมายสำหรับอาชีพตัวเอง” แม้ผู้กำกับภาพยนตร์ เหล่านักแสดง และคนดูจำนวนมากจะยกให้อนันดาเป็นนักแสดงคุณภาพ เพราะไม่ว่าจะเล่นบทไหนก็สามารถทำให้เชื่ออย่างสนิทใจว่าเขาคือตัวละครตัวนั้นอย่างแท้จริง แต่เขากลับถ่อมตัว พร้อมบอกว่า ทุกอย่างไม่ได้เกิดจากพรสวรรค์ แต่ล้วนเกิดจากพรแสวง ความสำเร็จในแบบของอนันดาจึงไม่ได้ถูกนิยามด้วยเส้นชัย แต่อยู่ที่การพัฒนาทักษะของตัวเองให้หนักขึ้นในแต่ละช่วงวัยที่ต้องก้าวผ่าน สิ่งนี้รวมถึงการปลุกปั้นโปรเจ็กต์ภาพยนตร์หลายเรื่อง รับหน้าที่ Producer ให้ซีรีส์ "รักนี้ชั่วนิจนิรันดร์" ช่อง True Visions รวมถึงการเป็น Creative ให้คลื่น Click Radio 102.5 เชียงใหม่ ควบคู่ไปกับการเดินหน้าธุรกิจ โดยเฉพาะ “อสังหาริมทรัพย์” อย่างเต็มสูบ ธุรกิจแรกของอนันดาคือ บริษัท เฮโลโปรดักชั่นส์ จำกัด ที่เกิดขึ้นราว 8-9 ปีก่อน บริหารจัดการด้านงานแสดงของอนันดาเท่านั้น ต่อมาขยายเป็นโปรดักชั่นเฮาส์เพิ่มด้วยอีกส่วน โดยไม่จำเป็นต้องเป็นงานของเขาเพียงอย่างเดียว ซึ่งปัจจุบันเมื่อตีกำไรให้ได้ 20-30% ของ production value แล้วก็สร้างรายได้มากถึงหลัก 10 ล้านบาทขึ้น นอกจากด้านการแสดง ความชื่นชอบในการตกแต่งบ้านของนักแสดงหนุ่ม ยังแตกหน่อเป็นธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ประดับบ้านที่เขาให้ชื่อแบรนด์ว่า Marilyn & Eve แต่ก็ยังไม่ใช่ธุรกิจหลักที่สร้างรายได้ให้มากนัก กระทั่งวันหนึ่ง อนันดาเห็นว่าต้องดูแลผู้คนรอบตัวเยอะขึ้น ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวหรือพนักงานในบริษัท เฮโล โปรดักชั่นส์ จำกัด ประกอบกับต้องการกวดขันตัวเองเรื่องวินัยการใช้เงิน ดังนั้น 2-3 ปีที่ผ่านมา เขาจึงหันมาลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ โดยซื้อที่ดินราวๆ 1 ไร่ ย่านนิมมานเหมินท์ อีกหนึ่งทำเลทองในตัวเมืองเชียงใหม่ จากรุ่นพี่ที่ตัวเขาเองเคยไปพัฒนาที่ดินให้ “ตอนนี้ผมมีเงินสดเมื่อไหร่ก็พยายามลงกับที่ดิน ไม่ถึงขั้นรวยแต่รายได้ก็โอเค ในมุมมองผมเงินเป็นแค่ตัวเลขที่สังคมตั้ง value ขึ้นมา ต้องแปลงต่อจากนั้นถึงจะเป็น value ที่แท้จริง ซึ่งสำหรับผมคือการลงทุนกับที่ดิน” เขาขยายความว่า pricing ในเชียงใหม่ค่อนข้างถูก profit margin ไม่เยอะ แต่ที่ดินคือ long term investment จึงพัฒนาให้มีมูลค่ามากขึ้น ด้วยการสร้างโรงแรมขนาดเล็ก 14-15 ห้อง ให้ชื่อในตอนนี้ว่าโรงแรมยาหยี ลงทุนทั้งที่ดินและตัวโรงแรมไปแล้วร่วม 30 ล้านบาท เพื่อรองรับศักยภาพด้านการท่องเที่ยวของ จ.เชียงใหม่ ที่อนันดาเห็นว่า แม้จะมีโรงแรมผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด แต่ความหลากหลายของโรงแรมระดับกลางประเภท 3 ดาวขึ้นไป และมีความเป็นบูติกยังน้อย จึงเข้าไปเติมเต็มช่องว่างตรงนั้น คาดการณ์ไว้ในตอนแรกว่า จะเปิดให้ทันช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา แต่การก่อสร้างมีรายละเอียดกว่าที่คิด จึงล่าช้าออกไปหลายเดือน อย่างไรก็ตาม เขารับประกันว่า จะสามารถเปิดให้บริการได้ทันในเทศกาลลอยกระทงปีนี้อย่างแน่นอน เขายังมองว่า โรงแรมยาหยีสามารถต่อยอดเป็นแกลเลอรีได้ โดยพัฒนา Marilyn & Eve ให้เป็นแบรนด์ที่สร้างความสุขให้กับบ้าน ผลิตทั้งเฟอร์นิเจอร์ และแตกแขนงสู่ไลฟ์สไตล์โปรดักต์ เช่น สบู่ ยาสระผม เสื้อผ้า ปลอกหมอน ฯลฯ และจะนำผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ดังกล่าวมาใช้ในโรงแรม ส่วนร้านอาหารจะทำเป็นแบบหลังคาโล่ง เพราะทำเลที่ตั้งสามารถมองเห็นวิวดอยสุเทพได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ ยังวางไว้ว่าจะย้ายคลื่นวิทยุที่เขาเป็นครีเอทีฟเข้าไปจัดรายการภายในโรงแรม พร้อมจัดอีเวนต์พบปะผู้ฟังทุกเดือนด้วย หลายคนมองว่า อนันดามีความเป็นศิลปินสูง ขณะที่การทำธุรกิจสิ่งแรกๆ ที่ต้องคิดคือเรื่องของตัวเลขการลงทุนและกำไร สองสิ่งอาจย้อนแย้งกัน แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา เมื่อแยกแยะบทบาทได้แล้ว ก็ทำแต่ละหน้าที่ให้ดีที่สุด ยามเป็นนักแสดงก็พลิกตัวเองให้กลายเป็นตัวละครแต่ละตัวอย่างสมจริง ยามเป็นนักธุรกิจก็วางแผนบริหารจัดการเพื่อทำให้รายได้งอกเงยมากที่สุด ส่วนหนึ่งด้วยการให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของเขามีส่วนแบ่งจากผลกำไรที่ได้ เป็นการสร้างแรงกระตุ้นไปในตัว “การแสดง abstract และ personal กว่าการทำธุรกิจมาก ต้องคิดและรู้สึกให้เหมือนกับเป็นตัวละครตัวนั้นจริงๆ ผมสร้างชีวิตหนึ่งให้เกิดขึ้น ส่วนธุรกิจโรงแรมก็เป็นตัวผมในอีกแบบ เป็นปูน ไม้ เหล็ก ที่ก่อสร้างขึ้นมาเป็นตึก ซึ่งที่ดินตรงนั้นหากพัฒนาให้ดีก็มี value สูงขึ้นเรื่อยๆ” เพราะการใช้ชีวิตในแบบที่เจ้าตัวบอกว่าค่อนข้างบ้าบิ่นอยู่สักหน่อย แถมยังมีความเป็นขบถผสมอยู่ในตัว และไม่เคยสร้างภาพให้ต้องดูหล่อ หรือเป็น “good boy” ของสังคม อนันดาจึงเรียกวิถีในแบบของเขาว่า “chaotic lifestyle” มีบางครั้งที่เครียดสับสน หลายครั้งที่นอนไม่หลับติดต่อกันหลายวัน เพราะรู้สึกกับสิ่งรอบข้างได้ง่าย แต่ด้วยประสบการณ์หลายอย่างที่ผ่านเข้ามา ทำให้เขาไม่เก็บเอามาคิดซับซ้อนวุ่นวายให้ทุกข์หนักเหมือนก่อน เมื่อเกิดปัญหาก็ยอมรับให้ได้ว่ามีอยู่ หาวิธีแก้ปัญหา และดำเนินชีวิตต่อไป แผนการในอีก 5 ปีข้างหน้าของอนันดา จึงเป็นการปรับเปลี่ยนตัวเองให้เข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ที่เติบโตในแง่ความคิดให้สุขุมลุ่มลึก พร้อมเดินหน้าบนเส้นทางสายการแสดง ขณะเดียวกันก็ตั้งใจไว้ว่าจะศึกษาหาลู่ทางลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้มากขึ้น ไม่ได้ตั้งเป้าจะเป็นนักธุรกิจใหญ่ ขอเพียงไม่ให้เงินจมไปกับที่ลงทุนเท่านั้นพอ “พอเรา secured แล้ว สิ่งที่เราสร้างมาให้กับตัวเองควรจะไปอยู่กับคนอื่น ผมไม่ได้พูดในแง่ของคนรัก ทุกวันนี้เวลาเห็นเด็กก็เริ่มคิดแล้วว่า ถึงเวลาที่เราจะมีคนอื่นเข้ามาเป็นศูนย์กลางในชีวิตแล้วหรือยัง คนนั้นควรจะเป็นแรงบันดาลใจในชีวิตของเรา... เพราะฉะนั้นในอีก 5 ปี ผมอาจนึกถึงสิ่งที่เรียกว่า ‘ครอบครัว’ ก็ได้”