ในวันอันร้อนระอุ ทีมงาน Forbes Thailand ได้รับเทียบเชิญจาก บริษัท รีเกล อินเตอร์เนชั่นแนล แทรเวล จำกัด ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายทัวร์บนเรือสำราญของกองเรือ Princess แต่เพียงผู้เดียวในไทย เพื่อเข้าเยี่ยมชมเรือสำราญลำใหม่และใหญ่ที่สุดของกองเรือ Princess
ณ ท่าเทียบเรือแหลมฉบัง เรือสำราญ
Majestic Princess เข้าเทียบท่าเมื่อเวลา 7.00น. ของวันที่ 21 มิถุนายน 2560 และเป็นการเดินทางเที่ยวแรกของเรือ หลังการต่อเรือเสร็จสิ้นที่ประเทศอิตาลี Majestic Princess แล่นออกจากท่าเรือที่ประเทศสเปน และแล่นตามเส้นทางสายไหมในสมัยโบราณ นั่นคือเลาะมาตามทะเลแคริบเบียน ผ่านประเทศกรีซ เข้าสู่คลองสุเอซ วกขึ้นมาทางตะวันออกกลางที่ประเทศจอร์แดน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ลัดเลาะสู่อินเดีย ลงมาผ่านสิงคโปร์ มาเลเซีย ไทย และหลังจากนี้เรือจะแล่นขึ้นไปทางญี่ปุ่น เกาหลี และสิ้นสุดที่เมือง Shanghai ประเทศจีน อันจะเป็นท่าเรือจุดเริ่มต้นการเดินทาง (Home Port) ของ Majestic Princess ต่อไป
การเดินทางยาวนาน 49 วันจากสเปนถึงจีนนั้น มีนักท่องเที่ยวมากมายที่ผลัดกันแวะขึ้นลงตามท่าเทียบเรือต่างๆ ด้วยขนาดระวางขับน้ำถึง 143,700 ตัน ความยาว 330 เมตร กว้าง 38.4 เมตร มีทั้งหมด 19 ชั้น Majestic Princess จึงสามารถจุผู้โดยสารได้ 3,560 คน ไม่รวมความจุลูกเรืออีกหนึ่งพันกว่าคน นับเป็นเรือสำราญลำใหญ่ที่สุดของกองเรือ Princess ที่มีทั้งหมด 17 ลำ
บริเวณท่าเทียบเรือ เรือสำราญ Majestic Princess สีขาว-ฟ้าตั้งตระหง่านเสมือนมีตึกแห่งหนึ่งผุดขึ้นมา โดยจุดแรกที่เราจะได้พบเมื่อขึ้นเรือคือโถงกลางที่มีความสูงจากชั้น 5 ถึงชั้น 7
ขึ้นลิฟต์ไปยังชั้น 16 บริเวณสระว่ายน้ำกลางแจ้งเป็นอีกจุดที่เป็นเหมือนหัวใจของเรือ สระว่ายน้ำที่รายล้อมด้วยอ่างจากุสซีและน้ำพุเต้นระบำ
ซึ่งผนังฝั่งหนึ่งมีจอขนาดยักษ์สำหรับฉายภาพยนตร์กลางแจ้ง ให้แขกทุกท่านได้เพลิดเพลินกับการดูภาพยนตร์ระหว่างแช่น้ำหรือนอนเอนกายบนเก้าอี้ริมสระ
ถัดไปเป็นสระว่ายน้ำในร่ม ซึ่งคล้ายคลึงกับสระว่ายน้ำกลางแจ้ง เพียงแต่โซนนี้ไม่อนุญาตให้เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีเข้าใช้งาน เพราะต้องการสงวนไว้ให้เป็นพื้นที่ผ่อนคลายของผู้ใหญ่ โดยครอบครัวที่นำเด็กมาด้วยสามารถให้พี่เลี้ยงช่วยดูแลความปลอดภัยของเด็กได้ที่ Youth and Teen Center ในระหว่างที่ผู้ปกครองไปใช้บริการต่างๆ ในเรือ
ริมสระว่ายน้ำนี้ยังมีไฮไลต์พิเศษของเรือ Majestic Princess เรียกว่า
Sea Walk เป็นทางเดินกรุพื้นด้วยกระจกใสยื่นออกจากตัวเรือไปเล็กน้อย เมื่อเดินอยู่บน Sea Walk จะให้ความรู้สึกว่าได้เดินอยู่กลางอากาศเหนือน้ำ
ทะเลเบื้องล่าง
นอกจากร้านอาหารที่เป็นทางการด้านล่าง บนชั้น 16 นี้มีห้องอาหารขนาดใหญ่เรียกว่า The Buffet ที่มีไลน์อาหารเสิร์ฟทุกท่านเกือบ 24 ชม.ต่อวัน เพื่อให้แขกที่มาพักทุกคนสามารถจัดสรรเวลาของตนเองได้อย่างสะดวกสบาย
สำหรับชั้น 17-18 เป็นโซนออกกำลังกายและกีฬา บนเรือสำราญลำนี้มีทั้งห้องฟิตเนสในร่มและกลางแจ้ง สนามไดรฟ์กอล์ฟและฝึกซ้อมกอล์ฟขนาด 6 หลุม โต๊ะปิงปอง และสนามบาสเกตบอล และชั้น 18 นี้ยังเป็นจุดที่ดีที่สุดในการชมความเวิ้งว้างแห่งมหาสมุทรและทิวทัศน์รอบตัวอย่างเต็มตา
ในส่วนห้องพักนั้นจะอยู่บนชั้น 8-15 แต่แม้จะเป็นการเดินทางเที่ยวแรกของ Majestic Princess แต่ก็มีแขกเต็มแน่นทุกห้องทำให้
Forbes Thailand ไม่สามารถเข้าเยี่ยมชมได้ ทั้งนี้ห้องพักมีทั้งหมด 1,780 ห้อง โดยที่ 81% ของห้องพักเป็นแบบที่มีระเบียงส่วนตัว รับวิวทะเลได้ตลอดการเดินทาง
แพคเกจทัวร์เรือสำราญ Majestic Princess นั้น จะรวมค่าใช้จ่ายทุกอย่างทั้งค่าที่พักและอาหารใน The Buffet ที่ทานได้ไม่อั้น (ร้านอาหารอื่นๆ จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม) และการใช้สิ่งอำนวยความสะดวกทุกประเภทบนเรือ ส่วนที่แขกจะต้องจ่ายเพิ่มเองคือค่าทัวร์ในการเข้าไปเที่ยวในเมืองต่างๆ ที่เรือจอดแวะพัก
การตกแต่งของเรือสำราญเป็นแบบลักเซอรีสีน้ำตาล-ครีม และมีกลิ่นอายของสถาปัตยกรรมจีนเล็กน้อย มีป้ายภาษาจีนกำกับทุกจุด เนื่องจากจะเป็นเรือที่ประจำใน Shanghai ประเทศจีนเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวจีนโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นไปตามอุปสงค์ของตลาด
ข้อมูลจาก
Cruise Lines International Association (CLIA) เปิดเผยว่า เมื่อปี 2016 มีนักท่องเที่ยวจีนบนเรือสำราญสูงถึง 2.1 ล้านคน และในปี 2015 ชาวจีนแผ่นดินใหญ่ถือเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของเอเชีย โดยมีสัดส่วน 47.4% ของตลาดท่องเที่ยวโดยเรือสำราญของภูมิภาคนี้ ทั้งยังเติบโตสูง โดยระหว่างปี 2012-2015 ตลาดนักท่องเที่ยวด้วยเรือสำราญของจีนขยายตัวถึง 65.7%
เราอำลาเรือสำราญขนาดยักษ์ Majestic Princess ซึ่งจอดนิ่งสงบกลางแดดจัดของเมืองไทย รอให้แขกบนเรือที่ออกไปท่องเที่ยวในกรุงเทพฯและเมืองพัทยากลับมาสร้างความคึกคักอีกครั้งในช่วงกลางคืน