ผลงานเอกชิ้นใหม่แห่งซานฟรานซิสโก - Forbes Thailand

ผลงานเอกชิ้นใหม่แห่งซานฟรานซิสโก

FORBES THAILAND / ADMIN
04 Nov 2016 | 03:56 PM
READ 10159

แค่มหาเศรษฐี Charles Schwab และ Donald Fisher ผู้ก่อตั้ง Gap จับมือกันครั้งเดียวก็บรรลุข้อตกลงที่นำไปสู่การเนรมิต SFMOMA ให้กลายเป็นที่อิจฉาแห่งวงการศิลปะ

เมื่อปี 2007 Donald Fisher ผู้ก่อตั้ง Gap เสนอที่จะมอบคอลเล็คชั่นผลงานศิลปะร่วมสมัยมากมายมหาศาลที่เขาสะสมไว้ให้กับนครซานฟรานซิสโก พร้อมเสนอสร้างพิพิธภัณฑ์ขนาด 100,000 ตารางฟุตในพื้นที่ประวัติศาสตร์อย่างPresidio ซึ่งคอลเล็คชั่นงานศิลปะของเขาประกอบไปด้วยงานจิตรกรรมและประติมากรรมชิ้นสำคัญๆ ซึ่งเป็นผลงานของศิลปินชื่อก้อง ไม่ว่าจะเป็น Andy Warhol, Ellsworth Kelly และ Richard Serra จึงเป็นที่ชื่นชอบและหมายปองของบรรดาผู้เชี่ยวชาญงานศิลปะที่ได้มาเยือนสำนักงานใหญ่ของ Gap ในซานฟรานซิสโก นักอนุรักษ์นิยมกลับไม่ต้องการเห็นอาคารพิพิธภัณฑ์สมัยใหม่มาตั้งอยู่กลางค่ายทหารยุคศตวรรษที่19 ใน Presidio ถึงกับลุกฮือขึ้นต่อต้าน Fisher เป็นเวลา 2 ปีเต็ม   สุดท้าย พ่อพระอย่าง Fisher ก็ต้องยอมถอย เขาถอนข้อเสนอท่ามกลางกระแสข่าวลือว่า อาจจะส่งงานศิลปะไปที่ Oakland หรือแม้แต่ St. Paul ใน Minnesota แทน อย่างไรก็ตาม มหาเศรษฐี Charles Schwab มีความคิดอื่น เขาเป็นเพื่อนสนิทและผู้ร่วมธุรกิจกับ Fisher และเป็นประธานพิพิธภัณฑ์ San Francisco Museum of Modern Art (SFMOMA) ด้วย เนื่องจาก Fisher อยู่ระหว่างการรักษาโรคมะเร็งระยะสุดท้าย ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตลงในเดือนกันยายน 2009 ในช่วงไม่กี่วันนั้นทั้งสองก็จับมือกันเป็นอันบรรลุข้อตกลง   เกือบ 7 ปีให้หลัง SFMOMA ซึ่งได้รับการขยายออกไปอย่างกว้างขวางและมีการออกแบบใหม่ก็ได้เปิดประตูต้อนรับผู้มาเยือนอีกครั้ง และปัจจุบันนี้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ   หลัง Schwab ขาย Charles Schwab & Co. ไปให้ Bank of America ในปี 1983 และได้เงินมา 55 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เขาก็มีแหล่งเงินทุนเพื่อให้การสนับสนุนพิพิธภัณฑ์ได้โดยตรงมากขึ้น เขาลงมือระดมทุนเพื่อสร้างอาคาร SFMOMA หลังใหม่ โดยร่วมมือกับ Don Fisher (ซึ่งในเวลานั้นดำรงตำแหน่งผู้จัดการดูแลทรัพย์สินของพิพิธภัณฑ์อยู่ก่อนแล้ว) พิพิธภัณฑ์ขนาด 225,000 ตารางฟุตแห่งนี้เป็นผลงานการออกแบบโดย Mario Botta สถาปนิกชาวสวิส   Schwab กล่าว ในบรรดาภารกิจที่ดำเนินไปด้วยกันนั้นก็อย่างเช่นการเดินทางไปญี่ปุ่น “เราไปซื้องานศิลปะมาจากธนาคารญี่ปุ่นแห่งหนึ่งที่มีตู้นิรภัยเก็บงานศิลปะไว้เต็มไปหมด ซึ่งใช้ในการรับประกันสินเชื่อ” Schwab กล่าวย้อนความ “งานศิลปะมากมายที่เราได้มาจากการเดินทางครั้งนั้นก็เข้าไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์” แม้จะมีสัญญาอยู่ก็จริง แต่การยกงานศิลปะสะสมทั้งหมดของ Fisher มาไว้ที่ SFMOMA ก็มีเงื่อนไขอื่นๆ ด้วย เช่น มีข้อตกลงกับครอบครัว Fisher ระบุว่าพิพิธภัณฑ์จะต้องรับหน้าที่ดูแลงานศิลปะชุดนี้ไปจนถึงศตวรรษหน้าเป็นอย่างน้อย   พร้อมทั้งปฏิบัติตามข้อกำหนดอีกมากมาย เช่น จะต้องจัดนิทรรศการแสดงผลงานศิลปะชุดนี้ทุกๆ 10 ปี Schwab อธิบายว่า “สำหรับงานศิลปะชุดสะสมของเขานั้น Don มีเป้าหมายชัดเจนอยู่ 2 ข้อที่ต้องการจะทำให้สำเร็จ คือ จัดแสดงงานศิลปะอย่างสม่ำเสมอ และรวบรวมงานศิลปะทั้งหมดมาไว้ที่เดียวกัน”   อย่างไรก็ตาม พื้นที่ 225,000 ตารางฟุตไม่เพียงพอเป็นแน่ เฉพาะงานสะสมของ Fisher ทั้งชุดก็ต้องใช้พื้นที่มากกว่านี้แล้ว Schwab กับ Benezra จึงเริ่มพูดคุยกับสถาปนิกเรื่องการขยาย SFMOMA พวกเขาสัมภาษณ์บริษัทเกือบ 40 แห่ง รวมทั้ง Diller Scofidio + Renfro และ Foster + Partners ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกบริษัทนอร์เวย์ที่แทบจะไม่มีใครรู้จักอย่าง Snøhetta   ในงาน SFMOMA Modern Ball งานเฉลิมฉลองการเปิดตัวพิพิธภัณฑ์ขึ้นอีกครั้งเมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาก็ได้เห็นแรงสนับสนุนที่มีมาอย่างท่วมท้น ในบรรดาผู้ที่เข้าร่วมงานประกอบไปด้วยผู้ทรงอิทธิพลในแวดวงเทคโนโลยีอย่าง Evan Williams ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งร่วมของ Twitter, Mike Krieger ผู้ก่อตั้งร่วมของ Instagram, Mark Pincus ผู้ก่อตั้งร่วมของ Zynga และ Marissa Mayer ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Yahoo พวกเขาตื่นตาตื่นใจไปกับแกลเลอรี่บรรจุงานชิ้นใหม่ผลงานของ Jackson Pollock, Francis Bacon, Jasper Johns และ Brice Marden พร้อมมอบเงินสนับสนุนอีก 2.5 ล้านเหรียญเข้าโครงการเพื่อการศึกษาของพิพิธภัณฑ์การสนับสนุนจากวงการเทคโนโลยีที่มีให้กับ SFMOMA โฉมใหม่ไม่ใช่่เรื่องแปลก   เนื่องจากศิลปะร่วมสมัยเองโดยมากแล้วก็เกี่ยวข้องกับการสร้างสรรค์นวัตกรรมอันที่จริงแล้ว การที่บุคคลผู้ทรงอิทธิพลจาก Silicon Valley ให้ความสนใจนั้นกลายเป็นกระจกสะท้อนความหลงใหลของ Schwab ที่มีให้กับงานศิลปะร่วมสมัย “มันก็คล้ายๆ กับสิ่งที่ผมคิดในการทำธุรกิจครับทั้ง 2 อย่างมันคือศิลปะแห่งความเป็นไปได้”  
คลิ๊กอ่าน "ผลงานเอกชิ้นใหม่แห่งซานฟรานซิสโก" เพิ่มเติมได้ที่ Fobes Thailand Magazine ฉบับ SEPTEMBER 2016