ภาพจำของ “บางกะเจ้า” คือ ปอดของกรุงเทพฯ ด้วยพื้นที่สวนอันร่มรื่นโอบล้อมด้วยแม่น้ำเจ้าพระยา อีกทั้งเป็นเขตอนุรักษ์สีเขียวตาม พ.ร.บ. ผังเมือง ซึ่งมีข้อจำกัดในการพัฒนา ทำให้ความเป็นธรรมชาติยังคงสภาพอยู่มาก จึงเหมาะอย่างยิ่งที่จะเป็นสถานที่พักผ่อนฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ
สวนธรรมชาติเนื้อที่กว่า 200 ไร่ ในเขตบางกะเจ้าแห่งนี้เป็นที่ตั้งโครงการ “รักษ” (RAKxa) ศูนย์บูรณาการสุขภาพและการแพทย์แบบองค์รวม หรือ fully integrated wellness and medical retreat ซึ่งให้บริการด้านสุขภาพด้วยการผสมผสานศาสตร์การแพทย์ตะวันออกแบบดั้งเดิมเข้ากับวิทยาศาสตร์และการแพทย์สมัยใหม่จากตะวันตก ด้วยห้องทรีตเมนต์รวมกว่า 40 ห้อง พร้อมอุปกรณ์ให้บริการทั้งการแพทย์แผนตะวันออก ไม่ว่าจะเป็นศาสตร์แพทย์แผนไทย จีน อินเดีย และการแพทย์สมัยใหม่โดยศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ รพ. บำรุงราษฎร์ ที่เข้ามาเป็นพาร์ตเนอร์ ร่วมบริหารโครงการเวลเนสแห่งนี้ ซึ่งลงทุนและพัฒนาโดย บริษัท มั่นคงไลฟ์ จำกัด ในเครือบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) ดุษฎี ตันเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มั่นคงไลฟ์ จำกัด คือ แม่ทัพหลักของโครงการ เธอมีส่วนในการริเริ่มแผนพัฒนาโครงการมาตั้งแต่ต้น เมื่อเข้ามาเป็นหนึ่งในทีมผู้บริหารใหม่ของ บมจ. มั่นคงเคหะการ ในหลายปีก่อน หลังจาก “ชวน ตั้งมติธรรม” ประธานและผู้ก่อตั้งบริษัทขายหุ้นออกและถอนตัวจากผู้บริหารหลัก ทิศทางและเป้าหมายการพัฒนาของมั่นคงฯ จึงเริ่มมองโอกาสใหม่ๆ มากขึ้น ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ธุรกิจด้านสุขภาพ โดยอาศัยความแข็งแกร่งในฐานะนักพัฒนาที่ดินเป็นใบเบิกทางในการเลือกพื้นที่เพื่อนำมาพัฒนา และการพัฒนาที่ดินให้เป็นโครงการ Holistic Wellness Centre ศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพแบบองค์รวม “Health is Wealth” คือ ปรัชญาที่รักษนำมาใช้เป็นภาพจำของโครงการและบริการที่เวลเนสแห่งนี้ ซึ่งเน้นการสร้างสุขภาพที่ดีเปรียบได้กับความมั่งคั่ง หรือเทียบกับสำนวนไทยคือ “การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ” เพราะสุขภาพที่ดีเป็นต้นทุนสำคัญที่นำไปต่อยอดทุกเรื่องในชีวิตได้ ตราบใดที่มีสุขภาพดีย่อมสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้เต็มที่ยิ่งกว่าการมั่งมีทรัพย์สินแต่สุขภาพไม่พร้อม “คิดเรื่องนี้มาตลอด การดูแลสุขภาพ คือสิ่งที่เราให้ความสำคัญ เมื่อมีโอกาสได้คิดโครงการจึงออกมาในแนวสุขภาพอย่างที่เห็น” ดุษฎี ตันเจริญ บอกเล่าอย่างเป็นกันเองเมื่อทีมงาน Forbes Thailand ได้เข้าไปเยี่ยมชมโครงการรักษราวปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา ช่วงนั้นสถานการณ์โควิดกำลังร้อนระอุ กรุงเทพฯ และอีกหลายจังหวัดเป็นพื้นที่สีแดง ดังนั้นการเข้าเยี่ยมชมเวลเนสแห่งนี้ ทีมงานจึงต้องเข้ารับการตรวจคัดกรองโควิดแบบเร่งด่วน (rapid test) ด้วยการเจาะเลือดตรวจ และทราบผลภายใน 15 นาที ก่อนจะได้เข้าเยี่ยมชมภายในโครงการและสัมภาษณ์อย่างเป็นกันเองในช่วง tea time ที่ต่างออกไปเพราะเป็นเมนูสุขภาพ หลังผ่านการคัดกรองแบบเร่งด่วนเรียบร้อยก็ได้เวลาเข้าไปสัมผัสโครงการรักษ ซึ่งบรรยากาศโดยรวมไม่เหมือนศูนย์สุขภาพหรือโรงพยาบาล แต่ร่มรื่นเหมือนรีสอร์ตตากอากาศที่เป็นส่วนตัว พื้นที่ใช้สอยต่างๆ แยกจากกันอย่างเป็นสัดส่วน การออกแบบแลนด์สเคปที่นี่โปร่งสบาย รายล้อมด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ ให้ความรู้สึกใกล้ชิดธรรมชาติเหมือนเดินทางไปต่างจังหวัด ทั้งที่โครงการอยู่ใกล้มากเรียกว่าเป็นชานเมืองกรุงเทพฯ ก็ว่าได้ สำหรับพื้นที่บางกะเจ้า ซึ่งสามารถเข้าถึงได้ทั้งทางแม่น้ำเจ้าพระยา โดยการนั่งเรือข้ามฟากจากท่าน้ำบางนามาขึ้นฝั่งที่บางกะเจ้าได้เลย หรือจะมาโดยทางรถยนต์สามารถใช้ถนนสายพระประแดง มุ่งหน้าสู่ตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง รวมเวลาเดินทางจากใจกลางกรุงเทพฯ ไม่เกิน 1 ชั่วโมงสำหรับการจราจรในวันทำงาน “ที่แปลงนี้เราซื้อใหม่เพื่อนำมาพัฒนาโครงการ ซึ่งเดิมเป็นที่ว่างเปล่าไม่ได้เป็นสวนหรือทำเกษตรอะไร และต้นไม้ที่เห็นในโครงการกว่า 80% เป็นการปลูกใหม่ทั้งสิ้น” ดุษฎีอธิบายถึงการพัฒนาตั้งแต่เริ่มต้นเมื่อได้ที่ดินมายังคงเป็นที่รกร้าง จากนั้นจึงได้รับการพัฒนาโดยออกแบบแลนด์สเคป และปลูกพันธุ์ไม้ขึ้นมาตามแบบแปลนที่วางไว้ โดยโครงการได้ออกแบบแลนด์สเคปภายใต้คอนเซ็ปต์ “Botanical Wellness Journey” เป็นศูนย์สุขภาพอุดมไปด้วยพรรณไม้หลากหลายเพื่อให้เกิดสุนทรียภาพทางกายและใจ เป็นการเน้นใช้ธรรมชาติบำบัด โดยให้ความสำคัญกับการสร้างพื้นที่สีเขียว ด้วยการปลูกต้นไม้ใหญ่มากกว่า 4,000 ต้น และไม้พุ่มอีกกว่า 400,000 ต้น ที่สำคัญภายในพื้นที่ 200 ไร่นี้ เป็นพื้นที่น้ำถึง 85% ดังนั้นจึงมั่นใจได้เรื่องความสงบร่มรื่นและโปร่งสบาย เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นน้ำ บ้านพักแต่ละหลังจึงมีความสงบและเป็นส่วนตัวสูง โดยบ้านพักทั้งหมดออกแบบให้มีบรรยากาศคล้ายรีสอร์ตส่วนตัว มีความเงียบสงบและเป็นส่วนตัวทั้ง 27 ยูนิต มีขนาดตั้งแต่ 80-400 ตารางเมตร แบบการ์เด้นและพูลวิลล่า ในการพัฒนาเฟสแรกบนที่ดิน 60 ไร่ ซึ่งการบริหารวิลล่าเหล่านี้มาจากพาร์ตเนอร์อีกกลุ่มคือ ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งมีเชนบริหารโรงแรมระดับ 5 ดาวเป็นพื้นฐาน จึงบอกได้ว่าบ้านพักเหล่านี้ได้รับการบริหารจัดการไม่ต่างจากโรงแรมหรูในมาตรฐานสากล จุดเด่นสำคัญของโครงการคือ การออกแบบที่เปิดโล่ง โดยมีพื้นที่ก่อสร้างในบริเวณที่ดิน 200 ไร่ ทั้งในส่วนของอาคารที่พักและศูนย์บริการสุขภาพต่างๆ รวมแล้วเพียง 15% ของพื้นที่ทั้งหมด แต่ถึงกระนั้นก็ยังถือเป็นเวลเนสแบบองค์รวมที่มีพื้นที่บริการใหญ่และทันสมัยที่สุดในไทย ณ ปัจจุบัน เป็นความตั้งใจของทีมบริหาร ซึ่งมุ่งพัฒนาโครงการนี้เพื่อรองรับการเป็น Medical Hub ของประเทศไทย โดยโครงการรักษวางเป้าหมายเป็น world-class medical wellness destination บริการเทียบระดับสากล โดยทุกบริการที่เวลเนสแห่งนี้เป็นระดับเวิลด์คลาสทั้งในแง่ของรูปแบบสถาปัตยกรรม การออกแบบ และการให้บริการMedical Service กาย-ใจ
โดยปกติแล้วสถานให้บริการด้านสุขภาพประเภทเวลเนสส่วนใหญ่จะมีบริการพื้นฐานด้านทรีตเมนต์ต่างๆ หลายแห่งโดยเฉพาะฟิตเนส ที่โครงการรักษมีความต่างจากเวลเนสอื่นด้วยบริการที่เรียกว่า Medical Gym คือ เป็นศูนย์ออกกำลังกายเชิงการแพทย์ ที่มีอุปกรณ์เครื่องมือที่ทันสมัยในการตรวจสอบสมรรถนะของร่างกาย เช่น เครื่องตรวจวัดการเดินการวิ่งแบบเรียลไทม์ สามารถวัดลักษณะการใช้งานของกล้ามเนื้อและข้อต่อต่างๆ ในร่างกายคล้ายเครื่องสแกนที่สามารถระบุได้ว่า การเดินของเราลงน้ำหนักอย่างไร ทิ้งน้ำหนักไปที่ข้อต่อจุดไหน ซึ่งเป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยเฉพาะจุดตามมา เครื่องมือที่ทันสมัยนี้จะบอกจุดบกพร่องการใช้น้ำหนักของร่างกายทำให้นักกายภาพสามารถแนะนำและออกแบบการเดินหรือการวิ่งที่เหมาะสมเพื่อแก้ไขปัญหาได้เป็นรายบุคคล Medical Gym จะมีทั้งนักกายภาพบำบัดและนักวิทยาศาสตร์การกีฬาผู้เชี่ยวชาญช่วยวิเคราะห์ร่างกายเป็นรายบุคคล ด้วยอุปกรณ์มาตรฐานระดับโลกที่ปกติใช้กันในวงการนักกีฬามืออาชีพระดับโอลิมปิก โดยทีมงานจะใช้เทคโนโลยีนี้ประกอบกับศาสตร์แห่งการแพทย์และวิทยาศาสตร์การกีฬา เพื่อออกแบบโปรแกรมการออกกำลังกายเฉพาะบุคคลให้อยู่บนพื้นฐานของการแก้ไขปัญหา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของร่างกายฝึกกล้ามเนื้อและประสาทตามความเหมาะสมด้วยการวิเคราะห์จากต้นเหตุนำไปสู่การฝึกฝนเพื่อพัฒนาและแก้ปัญหาข้อบกพร่องของการใช้ร่างกาย ฟิตเนสทางการแพทย์เป็นส่วนหนึ่งของบริการด้านร่างกายซึ่งเรียกว่า RAKxa Gaya แต่ยังมีบริการอีกส่วนที่สำคัญคือ RAKxa Jai คือ Holistic Wellness Centre โดยทีมแพทย์ของไวทัลไลฟ์ รพ. บำรุงราษฎร์ จะทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านศาสตร์แห่งการบำบัดสาขาต่างๆ และใช้ทรีตเมนต์ที่ดูแลสุขภาพแบบองค์รวมผสมผสานศาสตร์แห่งการบำบัดหลากหลายแขนง ทั้งการแพทย์แผนจีน การแพทย์แผนไทย อายุรเวท และการใช้พลังบำบัด หรือ energy healing เพื่อการดูแลสุขภาพในแบบที่ไม่เหมือนใคร นอกจากนี้ RAKxa Jai ยังมีสปาที่มาพร้อมวิวทะเลสาบ และประกอบไปด้วยห้องทรีตเมนต์เพื่อให้บริการการนวดด้านต่างๆ การทำทรีตเมนต์และการบำบัดต่างๆ นอกจากนี้ ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกในโซนธาราบำบัด เช่น ห้องอบไอน้ำสมุนไพรที่ใช้สมุนไพรที่เก็บสดจากสวนออร์แกนิก โดยรอบโครงการรักษ ห้องซาวน่าอินฟราเรด ไอซ์มูนชาวเวอร์ และสระน้ำอุ่นและบ่อเย็น 14 องศา จุดขายหลักของรักษคือ VitalLife Scientific Wellness Clinic ซึ่งเป็นการดูแลสุขภาพผ่านแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้เข้าใจสุขภาพของตนเองอย่างแท้จริง ทราบถึงจุดที่ควรปรับปรุง โดยใช้เทคโนโลยีการวิเคราะห์ที่ล้ำสมัย ไม่ว่าจะเป็นการตรวจพันธุกรรม ฮอร์โมน หรือไมโครนิวเทรียนท์ไปจนถึงการตรวจโอกาสการเกิดมะเร็ง โดยข้อมูลที่ได้นี้จะนำไปรวบรวมเพื่อให้แพทย์ผู้ดูแล เทรนเนอร์ นักกายภาพบำบัด และนักโภชนาการ ออกแบบโปรแกรมดูแลสุขภาพได้อย่างตรงจุด “เป้าหมายหลักของบริการที่นี่คือ เพื่อป้องกันโรค ชะลอวัย โดยทรีตเมนต์ต่างๆ จะช่วยในเรื่องการนอนหลับ พัฒนาศักยภาพของร่างกาย ดูแลระบบการย่อย และระบบสมอง” ทรีตเมนต์เหล่านี้ล้วนใช้เครื่องมือที่เป็นเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น ไอวี นิวเทรียนท์ ไครโออินฟราเรดซาวน่า การบำบัดด้วยแสง และพลาสมาเธอราปี รวมทั้งเครื่องผ่อนคลายกล้ามเนื้อด้วยความเย็นซึ่งเป็นเครื่องมือที่นักกีฬาดังระดับโลกใช้กัน เช่น นักฟุตบอลอาชีพในยุโรป โดยเครื่องจะทำงานด้วยการใช้ความเย็นรักษาอาการอ่อนล้าของกล้ามเนื้อให้กลับฟื้นคืนสภาพปกติได้ภายใน 3 นาที เป็นต้น และยังมีอุปกรณ์ทันสมัยอีกหลายทรีตเมนต์ที่เป็นวิทยาการทางการแพทย์สมัยใหม่มาให้บริการครัวสุขภาพเฉพาะบุคคล
RAKxa’s Wellness Cuisine เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของเวลเนสแห่งนี้ ซึ่งใช้ปรัชญาการปรุงอาหารที่ช่วยต้านการอักเสบออกแบบโดยเชฟและนักโภชนาการจากไวทัลไลฟ์ โดยใช้ส่วนประกอบที่ทราบแหล่งที่มา เป็นส่วนประกอบตามฤดูกาล และมีความยั่งยืนบนพื้นฐานแนวคิดที่ว่าระบบย่อยอาหารและสุขภาพของเราจะดีขึ้นได้จากอาหารที่ปลอดสารพิษอันตรายและสิ่งที่ทำให้เกิดการอักเสบ ทั้งนี้เพื่อให้การรับประทานอาหารเป็นไปเพื่อเสริมสร้างสุขภาพและต้านการอักเสบของร่างกายแบบที่หลายคนพูดว่า “กินอาหารเป็นยา ไม่ใช่กินยาเป็นอาหาร” ซึ่งนอกจากมีบริการอาหารเฉพาะบุคคลแล้ว ยังมีการจัดเวิร์กช็อปและกิจกรรมที่น่าสนใจมากมายเพื่อการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ในโครงการรักษมีห้องอาหารให้บริการ 2 ห้อง ได้แก่ ห้องอาหารอู่น้ำ (Unam), อู่ข้าว (Ukhao) ซึ่งตั้งชื่อสื่อถึงความอุดมสมบูรณ์ในเรื่องของอาหารการกิน ดังนั้นห้องอาหารจะเสิร์ฟอาหารเพื่อสุขภาพที่มีรสชาติอร่อย และมีนักโภชนาการคอยให้คำแนะนำเพื่อให้ได้รับประสบการณ์ที่ทั้งอร่อยและสนุกสนาน โดยอาหารที่เสิร์ฟจะเป็นไปตามโปรแกรมของลูกค้าแต่ละคน “ลูกค้ามาที่นี่ไม่ต้องกลัวว่าจะหาอาหารรับประทานยาก เพราะในโปรแกรมที่ดูแลสุขภาพจะมีทั้งโปรแกรมออกกำลังกาย การทำทรีตเมนต์ การพบแพทย์ และการจัดโภชนาการเฉพาะบุคคล” แม่ทัพมั่นคงไลฟ์วัย 51 ยืนยันด้วยรอยยิ้มที่สดใส่บ่งบอกถึงการมีสุขภาพดี เธอบอกว่า ก่อนจะเปิดบริการเธอได้ทดลองทุกอย่าง ทั้งทรีตเมนต์และลิ้มรสอาหารเมนูสุขภาพที่มีสีสันหน้าตาสดใส ไม่เหมือนอาหารสุขภาพที่ดูจืดชืดเหมือนที่เราเคยเห็นมาก่อนหน้านี้ “สนุกค่ะ ทดสอบทรีตเมนต์ได้ทั้งสุขภาพและความสุขคลายเครียดไปได้เยอะ” พูดจบก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี แม้ในแง่ธุรกิจจะเผชิญความท้าทายไม่น้อย เนื่องจากเปิดตัวในช่วงสถานการณ์โควิดทำให้ต้องปรับแผนตลาดไปมากพอสมควร “เดิมทีเราตั้งใจที่จะเจาะลูกค้าต่างชาติเป็นหลัก แต่ด้วยสถานการณ์โควิดจึงปรับมาเน้นลูกค้าคนไทย ซึ่งการตอบรับตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาถือว่าค่อนข้างดี” เธอยืนยันพร้อมเผยเคล็ดลับการตลาดเล็กๆ น้อยๆ ให้ฟังว่า “เมื่อตลาดหลักยังมาไม่ได้เราก็ปรับมาที่กลุ่มเป้าหมายคนไทย ซึ่งแน่นอนว่ายุคนี้ใครๆ ก็ต้องให้ความสำคัญเรื่องสุขภาพ การจัดแพ็กเกจด้านสุขภาพจึงดึงความสนใจได้ไม่ยาก” ดุษฎีบอกว่า ตั้งแต่เปิดบริการเมื่อปลายปีที่แล้วมีลูกค้าทยอยมาใช้บริการเรื่อยๆ มีทั้งแพ็กเกจใหญ่ 14 วัน และแพ็กเกจแบบ One-Day Wellness Package แพ็กเกจ 1 วันกับการทดลองทำทรีตเมนต์ที่หลากหลายและทันสมัย สัมผัสประสบการณ์ใหม่พร้อมแนวทางในการดูแลสุขภาพที่ถูกต้อง เพื่อนำไปดูแลตัวเองได้ดีอย่างสม่ำเสมอที่สำคัญราคาไม่สูงมาก “เรากำหนดราคาสำหรับลูกค้าคนไทย ช่วงนี้ถือเป็นจังหวะดีที่ได้เปิดให้ลูกค้าคนไทยได้ทดลองใช้บริการก่อน” ราคาไม่สูงตามคำบอกเล่าของผู้บริหารมั่นคงไลฟ์อยู่ที่ 5 หลักกลางๆ กับบริการระดับ world-class medical จึงเป็นแม่เหล็กสำคัญที่ดึงดูดลูกค้ามาทดลองใช้บริการ ภาพ: รักษคลิกอ่านฉบับเต็ม และบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกรกฎาคม 2564 ในรูปแบบ e-magazine