สงครามการค้าทำพิษ จีนชะลอตัวต่อเนื่อง KBANK คาดเศรษฐกิจไทยปีนี้โต 4% ส่งออกโต 4.5% ค่าเงินบาทต้นปีเเข็งค่า มองหุ้นไทยปีนี้ไม่มี New High พร้อมเเนะหุ้นเด่นที่น่าลงทุน
ธนาคารกสิกรไทย จัดงานสัมมนา "จับตาเศรษฐกิจเเละหุ้นปังปีกุน" โดยมีเชี่ยวชาญจากบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมวิเคราะห์ผลกระทบเเละคาดการณ์เเนวโน้มเศรษฐกิจ ท่ามกลางการกีดกันทางการค้าของสองชาติมหาอำนาจ “จีน-สหรัฐฯ” ปมปัญหากระบวนการ Brexit เเละการเลือกตั้งในไทยกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน) กล่าวว่าทางธนาคารได้ประเมินเศรษฐกิจไทยปี 2562 คาดว่าจะขยายตัวชะลอเหลือ 4% โดยมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตาทั้งเรื่องปัจจัยการเมืองในประเทศ เเละปัจจัยต่างประเทศอย่างสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน ที่นักลงทุนกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ กับจีนชะลอตัวลง ซึ่งจะมีปลต่อการส่งออกของไทยที่คาดว่าจะขยายตัวได้เพียง 4.5%
รวมถึงความกังวลเพิ่มขึ้นที่เพิ่มขึ้นหลังจากรัฐสภาอังกฤษลงมติคว่ำร่างข้อตกลง Brexit ซึ่งเป็นปัจจัยที่กดดันสหราชอาณาจักรเเละสหภาพยุโรป โดยมีความเป็นไปได้สูงที่ Theresa May นายกรัฐมนตรีอังกฤษ จะถูกอภิปรายไม้ไว้วางใจ และอาจมีผลทำให้ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ต้องเลื่อนการขึ้นดอกเบี้ยตามไปด้วย
กอบสิทธิ์ ระบุว่า ความไม่เเน่นอนของเศรษฐกิจโลกทั้งหลาย อาจจะทำให้นักลงทุนทั่วโลกมีความกังวล ซึ่งไทยถูกมองว่าเป็นประเทศที่มีความปลอดภัยเเละมีความเสี่ยงต่ำเป็นอันดับที่ 9 ของโลก จุดนี้จะทำให้มีนักลงทุนเข้ามาลงทุนในไทย โดยเฉพาะตลาดพันธบัตรที่โอกาสผิดนัดชำระหนี้ของไทย (Credit default swap-CDS) อยู่ระต่ำที่ 0.14% ซึ่งต่ำกว่าสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ โดยเมื่อมีนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทยก็ทำให้ค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องไปด้วย
“ในไตรมาส 1 ปี 2562 คาดการณ์ว่าค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ 31.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ โดยช่วงที่ค่าเงินบาทจะแข็งค่ามากที่สุดคือ ช่วง 19 เม.ย. ของทุกปี (อาจจะอยู่ที่ 31.20-32.30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ) และคาดว่าค่าเงินบาทจะปรับตัวอ่อนค่าในไตรมาส 4 เพราะบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ประกาศการจ่ายเงินปันผลงวดปี 2561 โดยทั้งปี 2562 คาดว่าค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 33.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ”
ขณะที่สถานการณ์การท่องเที่ยวไทย ซึ่งมีจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงในปีที่ผ่านมานั้น ในปีนี้ก็จะยังมีผลกระทบต่อเนื่อง ด้วยสภาพเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด เเต่ก็จะมีทิศทางที่ดีขึ้นเเละเชื่อว่านักท่องเที่ยวจีนจะยังคงนิยมมาเที่ยวเมืองไทย
มองเป้าปีนี้ 1,750 จุด แนะรอจังหวะซื้อที่ 1,400 จุด
ด้าน กวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย กล่าวว่า มองเป้าหมายดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยสูงสุดของปี 2562 อยู่ที่ 1,750 จุด ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงปลายปี เเละในไตรมาส 1 มีโอกาสปรับขึ้นไปถึง 1,650 จุด จากการปรับพอร์ตของนักลงทุนต่างชาติที่ขยับออกจากประเทศพัฒนาแล้วเข้ามาลงทุนในตลาดเกิดใหม่ และปัจจัยจากการเลือกตั้งไทย
“ปีนี้จะไม่มี New High เพราะไม่มีเงินใหม่ออกมาลงทุน และหลังจากการปรับพอร์ตของนักลงทุนต่างชาติแล้ว ในไตรมาส 2-3 ตลาดจะกลับมากังวลเรื่องเดิมๆ ได้แก่ เศรษฐกิจโลกชะลอตัว กำไรบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯไม่เติบโต รวมถึงความกังวลต่อการปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯจะกลับมากดดันตลาดอีกครั้ง”
ขณะที่กสิกรคาดการณ์สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยในปีนี้ว่าจะมีการผันผวนรุนเเรงเเละมีโอกาสเเกว่งได้ถึง 300 จุด หรือ เคลื่อนไหวระหว่าง 1,400 – 1,750 จุด ซึ่งหากตลาดลงไปช่วง 1,400 จุดก็ถือเป็นจังหวะที่ดีที่จะเข้าไปลงทุนหุ้นขนาดใหญ่ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี
“ปีที่เเล้วเราเเนะนำว่าตลาดจะปรับลดลงแต่ยังไม่แนะนำให้ซื้อ แต่ปีนี้ถ้าลงให้ซื้อ เพราะการปรับลดลงจะเป็นผลจากปัจจัยภายนอก ขณะที่ปัจจัยในประเทศยังแข็งแกร่ง”
สำหรับปีนี้มีหุ้นเด่นที่เเนะนำดังต่อไปนี้
- ลงทุนสถาบันการเงิน ได้แก่ ธนาคาร กรุงเทพ หรือ BBL และ ธนาคารทิสโก้ หรือ TISCO
- กลุ่มค้าปลีก ได้เเก่ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL ,บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO, บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN
- กลุ่มธุรกิจโรงเเรมที่จะได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยว ซึ่งปีนี้มีโอกาสฟื้นตัว ได้แก่ บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL , บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW , บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT
- กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในประเทศ ได้เเก่ บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK , บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ STEC ,กลุ่มพลังงาน เช่น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ,กลุ่มโรงไฟฟ้า เช่น บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM รวมถึงบริษัทโทรคมนาคมอย่าง เแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จํากัด (มหาชน) หรือ ADVANC
“ตลาดหุ้นเป็นเหมือน Lead Indicator ที่ส่งสัญญาณว่าจะมีวิกฤตอะไรตามมา เเต่คาดว่าจะยังไม่เกิดวิกฤตกับสถาบันการเงิน ในปีนี้เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวเเต่ไม่ถึงขั้นวิกฤต โดยธุรกิจที่มีความเสี่ยงน่าจับตามองคือ ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ เเม้จะโด่งดังเเต่ยังไม่มีเเพลตฟอร์มไหนที่ทำกำไรได้ ขณะเดียวกันต้องระมัดระวังฟองสบู่คอนโดมิเนียม ที่จะปล่อยเช่ายากเเละขายต่อยาก หลายโครงการเริ่มประกาศลดราคา โดยเฉพาะโครงการที่มีชาวจีนจองไว้มากจะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจจีนชะลอตัวเเละเรื่องค่าเงินหยวน” กวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทยกล่าว
โดยธนาคารกสิกรไทย ระบุว่าเศรษฐกิจโลกปี 2019 คาดว่าจะขยายตัวชะลอลงจากปีก่อนจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่เป็นรูปธรรมมากขึ้นเช่นนโยบายกีดกันทางการค้าเเละนโยบายการเงินที่ตึงตัวมากขึ้น
เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีการขยายตัวในช่วงที่ผ่านมานั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากนโยบายปฎิรูปภาษีของประธานาธิบดี Donald Trump ที่ช่วยสนับสนุนการบริโภคครัวเรือนเเละการลงทุนของภาคธุรกิจ อย่างไรก็ตามเเรงส่งต่อเศรษฐกิจจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าวจะค่อยๆ เเผ่วลงในระยะต่อไป
ด้านเศรษฐกิจจีน กำลังประสบปัญหากับความท้าทายทั้งจากปัจจัยในประเทศเเละต่างประเทศ โดยเศรษฐกิจของจีนขยายตัวชะลอลงในช่วงที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเป็นผลจากนโยบายปฎิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจของภาครัฐเเละอีกส่วนหนึ่งเกิดจากผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้า
ขณะที่ เศรษฐกิจไทย คาดว่าจะขยายตัวชะลอลงเช่นกัน โดยเฉพาะภาคส่งออก การเกษตรเเละการท่องเที่ยว ส่วนภาคการบริโภคจะขยายตัวได้ เเต่ยังมีความเหลื่อมล้ำสูง เช่นยอดขายรถยนต์ยังอยู่ในเกณฑ์ดี บ่งชี้ว่าผู้มีรายได้สูงยังจับจ่าย เเต่สินค้าไม่คงทนกลับมีการบริโภคลดลง บ่งชี้ว่าประชาชนรายได้น้อยกำลังมีปัญหา รวมถึงอัตราหนี้ครัวเรือนที่ยังสูง
ด้าน ค่าเงินบาท โดยสรุปจะมีเเนวโน้มเเข็งค่าในช่วงไตรมาสเเรกของปี 2019 เนื่องจากความกังวลต่อการขยายตัวเศรษฐกิจสหรัฐฯนักลงทุนเริ่มกังวลว่าสหรัฐฯ อาจจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในไม่ช้า ขณะที่เริ่มมีความหวังจากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ เเละจีนซึ่งจะทำให้เงินสกุลในตลาดใหม่เเข็งค่า ด้านปัจจัยในประเทศการเลือกตั้งที่มีกรอบเวลาชัดเจนเเละปัจจัยฤดูกาลท่องเที่ยวจะยิ่งกดดันให้เงินบาทเเข็งค่าด้วย
อย่างไรก็ตามคาดว่า เงินบาทจะกลับมาอ่อนค่าในช่วงที่เหลือของปี โดยคาดว่าปัจจัยด้านฤดูกาลท่องเที่ยวที่หมดลง ประกอบกับผลกระทบจากการเจรจาทางการค้าสหรัฐฯเเละจีนที่คาดว่าจะยืดเยื้อ จะส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจของตลาดเกิดใหม่เเละส่วนต่างดอกเบี้ยนโยบายจะเป็นปัจจัยให้เงินบาททยอยอ่อนค่าลงในช่วงที่เหลือของปี