เอเชีย พลัส เปิดสูตรจัดพอร์ต Asset Allocation ให้แข็งแกร่ง - Forbes Thailand

เอเชีย พลัส เปิดสูตรจัดพอร์ต Asset Allocation ให้แข็งแกร่ง

    ความไม่แน่นอนของโลกมีแต่เพิ่มมากขึ้น ล่าสุดผลข้างเคียงจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยของอเมริกาและยุโรปติดต่อกันกว่า 1 ปี กระทบต่อธนาคารต่างๆ แล้วเมื่อต้นปี เริ่มจาก SVB และธนาคารยุโรป Credit Suisse ทำให้ธนาคารกลางต้องหันมาปรับมุมมองปกป้องเสถียรภาพภาคธนาคารบาลานซ์กับการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อแก้โจทย์เงินเฟ้อสูง พยุงให้เศรษฐกิจเดินต่อไปได้

    “สิ่งที่เราเห็นในวันนี้คือความผันผวนของตลาดหุ้น ตลาดน้ำมัน ตลาดเงิน หุ้นกู้ ทุกอย่างผันผวนไปหมด เพราะว่า ดอกเบี้ยขาขึ้นทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งไม่ใช่ครั้งแรกที่เห็นปรากฏการณ์แบบนี้ ในอดีตก็เคยเกิดหลายครั้งด้วยกัน” ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอเชีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งให้บริการดูแลลูกค้า Wealth ด้วยมูลค่าสินทรัพย์บริหารรวม 6.39 หมื่นล้านบาท กล่าวถึงทิศทางการจัดพอร์ตลงทุน หรือ asset allocation ให้แข็งแกร่ง รับมือกับมรสุมความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้า

    สำหรับการคาดการณ์แนวโน้มหลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ดอกเบี้ยยังปรับขึ้นไปอีกเล็กน้อย ขณะที่อัตราดอกเบี้ยในยุโรปยังขึ้นไปมากกว่าเพราะเงินเฟ้ออย่างอังกฤษค่อนข้างสูง ส่วนดอกเบี้ยของไทยปีนี้คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของธนาคารแห่งประเทศไทย อาจขึ้นดอกเบี้ยได้อีกเล็กน้อย เพราะกดดอกเบี้ยไว้นานพอสมควร ซึ่งล่าสุดดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ระดับ 1.75%

    ดังนั้น ดร.ก้องเกียรติ มองว่าอัตราเงินเฟ้อน่าจะถูกกดลงถึงสิ้นปีนี้จากอัตราดอกเบี้ยที่ขึ้นสูงในหลายประเทศ ทำให้เศรษฐกิจโลกอาจจะชะลอตัวลงมากกว่าที่พยากรณ์ไว้ตอนต้นปี ซึ่งก็ค่อนข้างจะเป็นไปได้ โดยเฉพาะเศรษฐกิจในยุโรป

    “นักลงทุนส่วนใหญ่จริงๆ ก็ลงทุนสินทรัพย์ต่างๆ อยู่แล้ว แต่สัดส่วนมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับจังหวะและความเหมาะสมมากกว่า คือ หากคาดว่าหุ้นตกลงมาถึงจุดหนึ่ง น่าลงทุน ก็ต้องเพิ่มน้ำหนักหุ้น แต่ถ้ามองถึงความเสี่ยงหุ้นว่ายังมีความผันผวน และไม่อยากเอาตัวเข้าไปพัวพัน ก็อาจจะต้องซื้อพันธบัตรรัฐบาล หรือหุ้นกู้คุณภาพดี (ระดับ investment grade หรือ IG ขึ้นไป ถือไว้”

    นอกจากนี้พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐยังมีความน่าสนใจในการลงทุนจากอัตราดอกเบี้ยสูงมากเป็นประวัติการณ์ ซึ่งดอกเบี้ยขึ้นตั้งแต่ปีที่แล้วถึงปัจจุบัน และอาจสูงไปถึงปลายปีนี้ หากจะลงทุนพันธบัตรรัฐบาลขึ้นอยู่กับว่าถืออายุกี่ปี ถ้าพิจารณาจากดอกเบี้ยที่จะปรับขึ้นสูงสุดในปีนี้ก็ควรจะถือประเภทอายุ 2 ปี เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่น่าจะต้องการต่ออายุ (rollover) มากกว่า เพื่อจะได้ดอกเบี้ยที่สูงสำหรับปีนี้

    “พันธบัตรรัฐบาลขายง่ายอยู่แล้วในตลาดรองตราสารหนี้ แต่พันธบัตรของไทยดอกเบี้ยจะต่ำกว่าอเมริกาเยอะ ซึ่งดอกเบี้ยไทยต่ำก็เป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับคนที่ conservative ส่วนหุ้นกู้คุณภาพด้อยต้องดูเป็นรายตัว ถ้าจะลงทุนต้องระมัดระวัง โดยเฉพาะเรตติงต่ำกว่า IG แต่ไม่ใช่ทุกตัวที่จะแย่ไปหมด ต้องดูว่าผู้ออกตราสารหนี้เป็นบริษัททำธุรกิจอะไร มีกระแสเงินสดพอไหม โอกาสความเสี่ยงสูงไหม”

    เฟ้นหาหุ้นต่างประเทศสู้ดอกเบี้ยหักมุมลง ส่วนการจัดพอร์ตส่วนของหุ้นยังลงทุนได้อยู่ ส่วนใหญ่เป็นหุ้นต่างประเทศ เพราะมีความหลากหลายมากกว่าเมืองไทย โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ซึ่งหุ้นอเมริกาส่วนใหญ่ไม่ได้ขายสินค้าในประเทศอย่างเดียวแต่ขายทั่วโลก หรืออย่างตลาดหุ้นยุโรปจะมีหุ้น luxury brand และตลาดหุ้นจีนก็น่าสนใจมาก ถือเป็นตลาดหลักที่ควรจัดพอร์ตลงทุน

    “ผมแนะนำให้เลือกหุ้นที่ทนต่อสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ซึ่งช่วงที่ผ่านมาหุ้นพวก luxury brand มีการปรับตัวขึ้นมาสูงมาก ยกตัวอย่างจากพอร์ตผมที่ลงทุนพวกหุ้น luxury brand วันนี้ราคาหุ้น Herme`s ทำ all time high หรือ Louis Vuitton ราคาหุ้นก็เกือบ all time high คนที่รวยที่สุดในโลกก็คือ Bernard Arnault เจ้าของ Louis Vuitton เพราะในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำเขาขึ้นราคาอย่างเดียว บางทีขึ้นราคาสินค้าปีละสองครั้งด้วย คนมีเงินก็ซื้อไป ซึ่งไม่เกี่ยวกับอยู่ในภาวะเศรษฐกิจถดถอยด้วย หุ้น luxury brand ผมให้เป็นพวกหุ้นที่ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้พวก luxury brand ราคาหุ้นทะลุช่วงก่อน COVID-19 กันแล้ว”

    นอกจากนั้นเทรนด์รถไฟฟ้า หรือ EV ยังเป็นอีกกลุ่มใหญ่ที่น่าสนใจ เนื่องจากขณะนี้ยังเป็นยุคเริ่มต้นของการพัฒนาเทคโนโลยีรถ EV ที่ไม่มีวันจบสิ้น รวมทั้งในปัจจุบันมีค่ายรถผู้ผลิตหลายแบรนด์เป็นทางเลือกการขับเคลื่อนสู่อนาคตพลังงานสะอาด

    ขณะเดียวกันทางเลือกการลงทุนในหุ้นต่างประเทศยังมีหุ้นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการประกาศขึ้นลงอัตราดอกเบี้ย เช่น หุ้นเกี่ยวกับเซมิคอนดักเตอร์ ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จิ๋ว หรือไมโครชิป เพราะสามารถเติบโตได้ทันทีที่ธุรกิจฟื้นตัว และถ้ายอดขายโทรศัพท์มือถือดีขึ้น ผู้ผลิตก็ต้องสั่งสินค้าชิ้นส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีจำนวนมากขึ้น รวมทั้งธุรกิจเกี่ยวกับ AI เมตาเวิร์ส เพราะฉะนั้นธุรกิจที่อยู่ในซัปพลายเชนเหล่านี้จะเติบโตได้อย่างแน่นอน

    “ตอนนี้สถานการณ์กลับมาปกติ ธุรกิจก็จะไปได้ดี พวกสวนสนุกอย่างดิสนีย์แลนด์และต่างๆ เพราะฉะนั้นโลกหลัง COVID-19 ครั้งนี้คนเดินทางก็ต้องการอาหารดีๆ แพงบ้าง หรือแม้แต่หุ้นสตาร์บัคส์ แมคโดนัลด์ เคเอฟซี เป็นต้น ช่วงที่ผ่านมาผลดำเนินงานออกมาใช้ได้ และคิดว่าในที่สุดผลดำเนินงานก็จะกลับมาทะลุช่วงก่อน COVID-19 ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว อย่างหุ้น Apple ก็กำลังจะ all time high”

    ดร.ก้องเกียรติกล่าวถึงกลุ่มภาคการท่องเที่ยวซึ่งทยอยฟื้นหลังจากสถานการณ์ COVID-19 และกลับมาเปิดประเทศหรือเดินทางได้ปกติ แม้เศรษฐกิจโลกอาจชะลอตัวบ้างแต่ยังมีการเดินทางและการจับจ่ายใช้สอย ส่งผลให้ธุรกิจต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาคท่องเที่ยว โรงแรมเชนที่ทั่วโลกรู้จัก โรงแรมที่เป็นลักษณะเด่นเฉพาะตัว หรือโรงแรมชุมชนท้องถิ่นที่มีจุดขาย เช่น ญี่ปุ่นที่มีออนเซ็น เป็นต้น จะสามารถพลิกฟื้นกลับมาได้ รวมถึงร้านอาหาร เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไวน์ หรือแม้แต่หุ้นคาสิโน

    “ในช่วงที่ผ่านมาหุ้นอเมริกาลงมามาก ขณะที่สถานการณ์ตอนนี้ดอกเบี้ยกำลังจะหักมุม ถ้าคุณมองข้างหน้าว่าดอกเบี้ยขาลง ปกติหุ้นก็ต้องขึ้น ซึ่งปีนี้มองว่าดอกเบี้ยจะขึ้น peak จากที่เฟดพูดว่าปีนี้ยังขึ้นดอกเบี้ยอีกนิดหน่อย ส่วนปีหน้าจึงค่อยดอกเบี้ยลดลง เพราะฉะนั้นปีหน้าหุ้นก็น่าจะขึ้น แต่ปกติตลาดหุ้นจะรับรู้ข่าวล่วงหน้าก่อน ก็คาดว่าน่าจะปรับตัวขึ้นก่อนสิ้นปีนี้”

    

หุ้นจีน EPS โตแรง ส่องหุ้นรายตัว

    

    ส่วนตลาดหุ้นจีนช่วงที่ผ่านมามีการปรับตัวลงมามาก ดร.ก้องเกียรติบอกว่าชอบหุ้นจีนมาก และซื้อหุ้น Tencent และ Alibaba ซึ่งเป็นผู้นำตลาดอันดับหนึ่งของโลก ที่ผ่านมาข่าวร้ายจบแล้ว เพราะขณะนี้รัฐบาลมีการผ่อนคลายการควบคุมเกี่ยวกับธุรกิจเทคโนโลยีแล้วหลังจากถูกควบคุมมา 2 ปีก่อน ทำให้ผลดำเนินงานหุ้นกลับมาดี ไตรมาส 4/2565 หุ้น Tencent กลับมากำไรสูง นอกจากนี้ยังมีหุ้นประกันอย่างเอไอเอ ผิงอัน ที่ราคายังคงไม่แพงมาก รวมถึงหุ้นฮ่องกงด้วย

    “แต่ก็ต้องดูจังหวะในการเข้าลงทุนด้วย การลงทุนหุ้นต้องดูจังหวะตอนหุ้นลงเยอะๆ และดู valuation (มูลค่า) ของหุ้นที่เหมาะสมด้วย ต่อให้ราคาหุ้นลงเยอะๆ แล้ว valuation แพงก็ไม่ลงทุน คือดูธุรกิจยังมีกำไรเติบโตไหม ซึ่งต้องดูให้ลึกว่ากำไรที่โตมาจากยอดขายที่ไปลดราคาสินค้าจนแทบไม่มีกำไรหรือเปล่า กำไรหนืดเกินไปไหม ที่สำคัญต้องดูกระแสเงินสดด้วย ส่วนต่างกำไรจะตีบหรือต่ำมากไป เป็นสัญญาณที่ไม่ดี”

    ดร.ก้องเกียรติ ประมาณการอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 2566 พบว่า ประเทศฝั่งตะวันตกคาดการณ์ EPS ไม่โต ขณะที่ฝั่งเอเชียคาดว่ายังโตแรงในระดับ double digit (หากไม่นับตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่คาด) อย่างไรก็ตาม ในบางครั้งการลงทุนหุ้นบางตัวก็ไม่ต้องขึ้นอยู่กับราคาขึ้นไปมากหรือน้อย แต่ขึ้นอยู่กับธุรกิจยังเติบโตได้ในระยะยาวหรือไม่ เช่น หุ้น Apple ที่เคยลงทุนในสมัยก่อนราคาหุ้นอยู่ตั้งแต่ 60 เหรียญสหรัฐ ก็ถูกถามว่าซื้อทำไม ราคาแพง ตอนนี้ราคาขึ้นไปที่ 159 เหรียญแล้ว หุ้น Microsoft และ Louis Vuitton ก็เช่นกัน

    “พอร์ตผมจะให้น้ำหนักหุ้นพวก luxury brand เยอะสุดเบอร์หนึ่งเบอร์สอง เพราะเป็นหุ้นที่ชนะเงินเฟ้อแน่ ส่วนเบอร์สามเป็น Apple”

    ส่วนหุ้นไทยเมื่อก่อนในช่วงที่ ADVANC ราคาขึ้นไป 60 บาท ค่าพี/อีสูง 50-60 เท่า ก็กล้าลงทุน เพราะมองว่าตลาดโทรศัพท์มือถือเพิ่งเริ่มต้น คนถือเครื่องแค่ล้านคนเท่านั้น ตลาดมีโอกาสโตอีกในระยะข้างหน้า ถ้าเป็นหุ้นลักษณะนี้ ค่าพี/อีสูงถือเป็นเรื่องปกติ ตอนนี้ ADVANC ก็อิ่มตัวแล้ว จัดเป็นหุ้น cash cow แล้ว ถือไว้รับเงินปันผล เช่นเดียวกับหุ้นแมคโดนัลด์ที่ไม่ได้โตมาก เพราะสาขากระจายไปทั่วโลกแล้วจำนวนมาก แต่จ่ายเงินปันผลแต่ละปีสูงมาก

    สำหรับความน่าสนใจในตลาดหุ้นไทย ในมุมมองของ ดร.ก้องเกียรติ ให้ความเห็นว่า ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นขนาดกลางและเล็กๆ มากกว่า ขณะที่หุ้นใหญ่ 10-20 ตัวแรกๆ ในตลาดหลักทรัพย์จะหน้าตาเดิมๆ ตลาดหุ้นไทยยังไม่มีหุ้นเทคโนโลยี หรือหุ้นที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี แม้กระทั่งหุ้นโครงสร้างพื้นฐานดีๆ ก็ไม่เห็นของใหม่ๆ เข้ามา เวลานี้ตลาดหุ้นไทยตกขบวนรถไปแล้ว โลกเปลี่ยนไปมาก หากว่าธุรกิจในไทยที่เป็นซัปพลายเชนยังปรับตัวไม่ทันก็คงเหนื่อย

    “ส่วนตัวผมให้น้ำหนักกับสินทรัพย์ต่างประเทศ และควรกระจายลงทุน เนื่องจากตลาดหลักทรัพย์ไทยมีสัดส่วนไม่ถึง 1% ของตลาดหุ้นทั่วโลก คุณจะเอาเงินก้อนใหญ่กระจุกอยู่ที่ตลาดเดียวคงเป็นไปไม่ได้ แค่ตลาดหุ้นอเมริกาก็ครึ่งหนึ่งของทั้งโลกแล้ว อย่างน้อยก็ต้องแบ่งสรรเงินก้อนหนึ่งมาลงทุนหุ้นอเมริกา แม้ว่าตลาดหุ้นอเมริกาอยู่ไกล แต่คุณก็สามารถเลือกลงหุ้นแบรนด์ที่ทั่วโลกรู้จักคุ้นเคยกันอยู่ และเห็นว่าเป็นธุรกิจที่ดี ไม่ว่าจะเป็นของกินของใช้ เสื้อผ้า เป็นต้น เพราะฉะนั้นต้องรู้จักกระจายลงทุนในบริษัทที่ดี และดูงบก่อน ส่วนหุ้นไทยยังไม่รู้จะลงทุนอะไร”

    อย่างไรก็ตาม การจัดพอร์ต asset allocation ของเอเชีย พลัส โดยรวมในปีนี้ให้น้ำหนักลงทุนหุ้นต่างประเทศ 30% และหุ้นไทย 30% ตามด้วยตราสารหนี้ 20% ตลาดเงิน 10% และตราสารลงทุนอื่นๆ 10% 



    ทั้งนี้ ตลาดหุ้นอเมริกามี market capital สัดส่วน 40% ของตลาดหุ้นทั้งโลก ส่วนยุโรปสัดส่วน 15% และตลาดหุ้นจีนสัดส่วน 8% ส่วนที่เหลือกระจายทั่วโลก โดยตลาดหุ้นไทยมีสัดส่วน 0.7% ของทั่วโลก สำหรับ valuation ของตลาดหุ้นทั่วโลกพบว่าหลายประเทศยังซื้อขายบริเวณ forward P/E ที่ค่าเฉลี่ย 10 ปี แต่มีตลาดหุ้น Nasdaq ที่ซื้อขายเกินค่าเฉลี่ย 10 ปีแล้ว

    

    อ่านเพิ่มเติม : เจาะกลยุทธ์ SCB WEALTH สร้างความมั่งคั่งฝ่ามรสุมเศรษฐกิจโลก

    คลิกอ่านฉบับเต็มและบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนมิถุนายน 2566 ในรูปแบบ e-magazine