ในช่วงปีที่ผ่านมา ทั่วโลกเรียกได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงและเหตุการณ์สำคัญหลายอย่างเกิดขึ้น หลายเหตุการณ์ส่งผลให้ราคา บิทคอยน์ พุ่งขึ้นสูงอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งแบบเฉพาะพื้นที่และแบบที่ส่งผลกระทบต่อทั่วโลก
ยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่เห็นได้ชัดที่สุดจะเป็นเหตุการณ์ “สงครามอิหร่าน-สหรัฐฯ” ที่มีทีท่าว่าจะก่อตัวขึ้นในช่วงต้นปี 2020 ที่ผ่านมา ข่าวนี้นอกจากจะส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนอย่างรุนแรง ยังส่งผลต่อราคา บิทคอยน์ ในประเทศอิหร่านอย่างมาก ถึงขนาดราคาพุ่งไปสูงถึง 30,000 เหรียญ (1,000,000,000 IRR)
ดังภาพตัวอย่างในด้านล่าง เป็นสถานการณ์ที่ผู้ใช้ในทวิตเตอร์รายหนึ่งโพสต์แชร์ถึงราคาของบิทคอยน์ในตลาดแบบ P2P (ตลาดที่ทั้งผู้ใช้และผู้ขายมาติดต่อซื้อขายกันเอง) จะเห็นได้ว่าราคาของบิทคอยน์ต่อเหรียญนั้นพุ่งไปสูงมาก (สูงกว่าตลาดทั่วไป ณ ตอนนั้นเกือบเท่าตัว)
ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า โดยทั่วไปตลาดแลกเปลี่ยนในประเทศใดๆ ก็ตาม หากมีการรับซื้อขายด้วยสกุลเงินจริงๆ (Fiat) ส่วนมากผู้ขายมักรับชำระด้วยสกุลเงินของประเทศนั้นๆ เนื่องด้วยความไม่ต้องการรับภาระในการแปลงสกุลเงิน ส่งผลให้จำนวน BTC ที่ขายที่มีจำนวนจำกัดนั้นกลายเป็นที่ต้องการ ส่งผลให้ราคาพุ่งสูงขึ้นตามมา
แท้จริงแล้วเหตุการณ์อะไรบ้างที่ส่งผลต่อราคาของบิทคอยน์?
- เมื่อผู้คนรู้สึกขาดความมั่นคงในสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่
- เมื่อผู้คนต้องการความคล่องตัวและอิสระในการเคลื่อนย้ายสินทรัพย์อย่างสูง
- เมื่อคนรู้สึกว่าทรัพย์สินของตนเองกำลังจะไม่ปลอดภัย (ภัยพิบัติ, การทำลายล้างจากสงคราม)
- เมื่อคนรู้สึกขาดความเชื่อมั่นในรัฐบาล (การบริหารที่ล้มเหลว, อัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น)
- ความไม่อยากพลาดโอกาสในการทำกำไร
- ความอยากรู้อยากลองในตลาดลงทุนใหม่ๆ
- การเคลื่อนย้ายเงินจำนวนมาก
- ข่าวการปิด-เปิดตลาดซื้อขาย
- ข่าวความไม่มั่นคงต่างๆ เช่น กระเป๋าโดนแฮ็ค, Node เหรียญพัง
โดยเฉพาะสาเหตุใน 4 ข้อแรก สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้คนที่ยอมเสี่ยงแปลงสินทรัพย์ของตัวเองไปอยู่ในรูปแบบของสกุลเงินดิจิทัลที่มีความผันผวนสูง แต่อิงกับเรตของสกุลเงินที่ที่คนทั้งโลกให้ค่า
เว้นแต่ว่า ณ ขณะนั้นคุณมีแต่เงินสดหรือเงินสกุลชาติตัวเอง แล้วเหรียญในตลาดมีน้อย เมื่อนั้นอาจต้องสู้ราคากันหน่อย ส่งผลให้ราคาต่อเหรียญมีมูลค่าสูงขึ้นตามลำดับ
เชื้อ Covid-19 ระบาด ส่งผลต่อราคาของบิทคอยน์หรือไม่?
หลังจากการแสข่าวที่จีนประกาศรับมือกับเชื้อไวรัส Covid-19 หรือไวรัสโคโรน่า อย่างเข้มข้นมาตั้งแต่ช่วงมกราคม ที่มาพร้อมกับมาตรการห้ามพลเมืองจีนเดินทางออกนอกประเทศ สิ่งนี้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาคธุรกิจในหลายประเทศ หลายภาคส่วน และดูท่าจะไม่สงบลงได้โดยง่าย
ทั้งนี้ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ มักเป็นช่วงที่ทั่วโลกจัดงานเทศกาลตรุษจีนขึ้น เป็นช่วงที่คนจีนมักจะมีการใช้จ่ายเงินหรือท่องเที่ยวกับครอบครัวมากเป็นพิเศษ ในโลกของคริปโตเอง ตลาดเงินดิจิทัลในช่วงนี้มักจะเป็นช่วงที่คนจำเป็นต้องใช้จ่ายเงิน และมีการนำเงินดิจิทัลของตัวเองมาเทขายเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ราคาจะตกลงเล็กน้อย ก่อนจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติอย่างรวดเร็ว
ขณะที่ปีนี้ค่อนข้างไม่มีอะไรหวือหวามากนัก จะเห็นว่าตลาดมีความหวือหวาอยู่ช่วงวันที่ 24-25 มกราคม ที่ราคาพุ่งสูงขึ้นชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะตกลงอย่างรวดเร็ว แต่หลังกจากนั้นไม่กี่วันทุกอย่างก็เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ มีคนเริ่มกลับเข้ามาสู่ตลาดมากขึ้น ส่งผลให้ราคาค่อยๆ ไต่ระดับสูงขึ้นตาม
ขณะเดียวกันข่าวปิดเหมืองขุดในจีนปรากฏออกสู่สาธารณชนเป็นระยะๆ
ประเด็นที่น่าสนใจของข่าวอยู่ที่จีนได้สั่งปิดเหมืองขุดซึ่งอยู่ห่างไกลจากชุมชนและไม่มีพนักงานคนใดที่เดินทางมาจากเมือง Wuhan เสียด้วยซ้ำ แต่เจ้าหน้าที่รัฐบาลได้แจ้งว่าต้องการให้พนักงานทุกคนที่ดูแลเครื่องพักอาศัยอยู่แต่ในเฉพาะบริเวณบ้านเท่านั้น เพื่อความปลอดภัยและเพื่อประสิทธิภาพในการควบคุมโรคที่ดี
โดยเจ้าของเหมือนได้ออกมาแสดงความวิตกกังวลค่อนข้างมาก “แม้แต่โรงงานที่ทำงานด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์เกือบทั้งหมด ทั้งยังตั้งอยู่ในเขตห่างไกลจากผู้คนและเมืองที่มีโรคระบาด ยังโดนสั่งให้ปิดทำการชั่วคราวได้ เหมืองอื่นๆ ในจีนก็อาจถูกสั่งให้หยุดทำการได้เช่นกัน”
ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งนี้อาจส่งผลกระทบต่อบิทคอยน์ได้อย่างแน่นอน อย่างที่ทราบกันดีว่าจีนเป็นประเทศที่มีกำลังขุดบิทคอยน์สูงมาก มีโรงงานสำหรับประมวลผลขนาดใหญ่และเป็นระบบ รวมถึงกำลังขุดที่เกิดขึ้นในโลกนั้นมาจากประเทศเทศจีนถึง 65% นั่นหมายความว่าหากเหมืองขุดในจีนต้องหยุดลงชั่วคราว ก็อาจส่งผลต่อแรงขุดในโลกได้
แต่นั่นก็ดูเหมือนไม่ใช่ปัญหา เนื่องจากระบบของบิทคอยน์ บล็อคเชน นั้นถูกออกแบบมาให้มีการปรับความสมดุลของค่า Difficulty ในระบบกับจำนวนนักขุดให้มีความสมดุลกันอยู่แล้ว
พูดกันตามตรงก็คือ หากเงื่อนไขที่อาจส่งผลต่อความวิตกกังของผู้คนยังไม่ครบ 4 ข้อแรกนั้น ก็อาจไม่ต้องกังวลถึงความผันผวนของราคามากนัก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังต้องจับตาดูกันต่อไป
ขอบคุณบทความจาก Bitkub.com