จากค่ายหนังอารมณ์ดี “GTH” ที่สร้างภาพยนตร์ไทยทำรายได้ทุบสถิติตลอดกาลกว่า 1 พันล้านบาท อย่าง “พี่มาก..พระโขนง” วันนี้อาณาจักร GDH เสริมทัพด้วย “นาดาว” กลายเป็นผู้ผลิตคอนเทนต์ที่หลากหลาย และส่งความสุขได้ทุกแพลตฟอร์ม
“เมื่อถึงทางตันก็ต้องเลิกลา” กับข่าวช็อกวงการบันเทิงช่วงปลายปี 2558 เมื่อไท เอ็นเตอร์เทนเมนต์ ของ วิสูตร พูลวรลักษณ์ ตัดสินใจแยกทางกับบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ และ หับ โห้ หิ้น บางกอก พันธมิตรที่ร่วมก่อตั้งบริษัท GTH ที่สร้างมิติใหม่ให้วงการภาพยนตร์ไทย ด้วยภาพยนตร์คุณภาพจำนวนมาก จากความเห็นต่างในการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อขยายธุรกิจให้เติบโตมากขึ้น
“เราต้องการเติบโตอย่างมีความสุข และได้ทำงานอย่างมีคุณภาพ ซึ่งมองว่าการสร้างภาพยนตร์ปีละ 3 เรื่องกำลังดี” จินา โอสถศิลป์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จีดีเอช ห้าห้าเก้า จำกัด (GDH) กับแนวคิดที่มุ่งมั่นกับการสร้างสรรค์งานคุณภาพออกสู่ตลาดเมืองไทยอย่างน้อยปีละ 3 เรื่อง
ปี 2562 GDH ยังคงตอกย้ำการสร้างงานคุณภาพด้วยภาพยนตร์ 3 เรื่อง ที่ทำรายได้สูงสุดของวงการภาพยนตร์ไทยในปีที่ผ่านมา อันดับ 1 ตุ๊ดซี่ส์ & เดอะเฟค ทำรายได้ 141 ล้านบาท 2. “Friend Zone ระวัง..สิ้นสุดทางเพื่อน” ทำรายได้ 134 ล้านบาท และ 3. “ฮาวทูทิ้ง..ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ” ที่ทำรายได้ไปแล้ว 57 ล้านบาท ท่ามกลางความถดถอยของวงการภาพยนตร์ไทยในปีที่ผ่านมา ซึ่งทำรายได้รวมกว่า 700 ล้านบาท ลดลง 14% เมื่อเทียบกับปี 2561 หรือทำรายได้เฉลี่ยเพียงเรื่องละ 15 ล้านบาทเท่านั้น
จินา กล่าวว่า สิ่งที่ทำให้ GDH ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่แค่การใช้สัญชาตญาณในการสร้างสรรค์งานเท่านั้น แต่ยังมีการหาข้อมูล (Information) และ Insight ของผู้คน รวมไปถึงการวัดผล เพื่อจะเข้าใจอารมณ์ของผู้ชมให้มากขึ้น ซึ่งจะสะท้อนเป็นรายได้ที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ในโลกของภาพยนตร์ก็ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง
“ทุกวันนี้ไม่มีหน้าหนัง เราไม่รู้ว่าหนังแบบไหนจะถูกใจคนดู เราจึงเน้นทำงานคุณภาพ สร้างให้เกิดความแปลกใหม่ ไม่ซ้ำเดิม อย่างภาพยนตร์ พี่มาก..พระโขนง ที่เรามาตีความใหม่ เล่าเรื่อง แม้จะเป็นเรื่องที่คนไทยทุกคนรู้กันอยู่แล้ว ก็สามารถทำรายได้ถล่มทลายกว่า 1 พันล้าน เพราะฉะนั้นภาพยนตร์เป็นอะไรที่คาดเดายาก และประมาทไม่ได้ สิ่งที่เราทำคือการแข่งขันกับตัวเอง งานชิ้นสุดท้ายที่เราทำ คือคู่แข่งของเรา”
อย่างไรก็ตาม ตลอดระยะเวลา 4 ปี ที่แยกออกมาตั้ง GDH ภายใต้การถือหุ้นโดย บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) 51% บริษัท หับ โห้ หิ้น บางกอก จำกัด 15% และกลุ่มผู้บริหาร คนทำงาน ผู้กำกับ นักแสดงอีก 34% ผลประกอบการของ GDH ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2562 มีรายได้รวม 471.29 ล้านบาท และเป็นกำไรก่อนหักภาษี 99 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่มีกำไร 68 ล้านบาท
เน้นบริหารต้นทุนไม่ให้ติดลบ
จินา หนึ่งในผู้บริหารหลักของ GDH ที่ได้ตำแหน่งนี้มาเพราะคิดเลขเร็วที่สุดในบรรดาเพื่อนๆ ที่เรียนนิเทศศาสตร์ จึงต้องทำหน้าที่ในการบริหารบริษัท ดูแลต้นทุน รายได้ กำไร ซึ่งอย่างที่ทราบ ธุรกิจด้านบันเทิงเป็นธุรกิจที่มีต้นทุนสูง และมีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะภาพยนตร์ นอกจากจะต้องบริหารต้นทุนให้ดีแล้ว ต้องพยายามอย่าให้เป็นตัวแดงก็พอ ส่วนที่เหลือก็เป็นกำไร ซึ่งถือว่าตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ค่ายหนังอารมณ์ดียังไม่มีตัวแดง
“คุณไพบูลย์ (ดำรงชัยธรรม) สอนเสมอว่าการทำธุรกิจบันเทิงเสี่ยงสูง คาดเดายาก สิ่งที่ทำได้คือการควบคุมต้นทุน บริหารอย่างไรก็ได้ไม่ให้ขาดทุน ที่เหลือก็แล้วแต่พระเจ้าจะประทาน” จินาบอกเล่าถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้จากคนที่เป็นรุ่นพี่ เป็นเจ้านาย อย่าง อากู๋ ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ประธานกรรมการ บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ และเป็นผู้มีส่วนผลักดันให้เกิดค่ายหนังอารมณ์ดีแห่งนี้
สำหรับปี 2562 ถือเป็นโชคดี นอกจากการบริหารต้นทุนในแต่ละปีให้ภาพยนตร์มีรายได้และกำไรตามสมควร พระเจ้ายังประทานรายได้ที่มากขึ้นให้กับ GDH ด้วยการจำหน่ายภาพยนตร์ในต่างประเทศ ซึ่งนับตั้งแต่ปี 2561 และ 2562 หนัง GDH ไปสร้างรายได้ในต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ทั้งฉลาดเกมส์โกง (Bad Genius) และ Friend Zone โดยเฉพาะจากจีน และบางประเทศในเอเชีย ทำให้ผลประกอบการในปี 2562 มีกำไรค่อนข้างดี
อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่ถนัดในการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่จินากำลังมองหาวิธีการระดมทุนในรูปแบบอื่นๆ เพื่อต่อยอดธุรกิจของ GDH ให้กว้างไกลยิ่งขึ้น ซึ่งจะมีทั้งโปรเจกต์ที่ร่วมพัฒนากับพันธมิตรในต่างประเทศ แต่จะเป็นเครื่องมือทางการเงินประเภทไหนยังอยู่ระหว่างการศึกษา และค้นคว้าข้อมูลอย่างละเอียดรอบคอบ สิ่งจะได้เห็นชัดเจนในปีนี้และปีถัดไป เพื่อขยายธุรกิจให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
นาดาวโตเร็ว อานิสงส์แพลตฟอร์มใหม่
ภายใต้อาณาจักร GDH ที่เกิดใหม่นี้มี บริษัท นาดาว บางกอก จำกัด ที่ก่อร่างสร้างตัวมาพร้อมๆ กับ GDH แต่เป็นการถือหุ้นโดยผู้กำกับเป็นส่วนใหญ่ และเริ่มต้นด้วยการเป็นบริษัทบริหารและพัฒนาศิลปินหน้าใหม่ โดยเฉพาะเฟ้นหาเด็กรุ่นใหม่เข้าสู่วงการ ซึ่งสร้างชื่อเสียงโด่งดังในซีรีส์ “Hormones” โดยมี ย้ง-ทรงยศ สุขมากอนันต์ หนึ่งในผู้กำกับแฟนฉัน เป็นกรรมการผู้จัดการ และปีที่ผ่านมา เรียกว่าเป็นปีทองของนาดาวที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก จากละคร “รักฉุดใจนายฉุกเฉิน”
จินา กล่าวว่า ได้พยายามพัฒนาและผลักดันสร้างผู้บริหารรุ่นใหม่ขึ้นมาบริหารธุรกิจในแต่ละกลุ่มธุรกิจ ให้รับผิดชอบดูแลเรื่องการบริหารต้นทุน ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญของการทำธุรกิจด้านภาพยนตร์ ส่วนใหญ่คนที่ขึ้นมาเป็นผู้บริหารจะเป็นกลุ่มผู้กำกับที่เติบโตมาจากภาพยนตร์เรื่องแฟนฉัน ซึ่งนอกจากจะมีนาดาว ยังมีบริษัทด้านภาพและเสียง เช่น สวัสดีทวีสุข ดูแลชิ้นงานคีย์อาร์ต, งานดีทวีสุข ดูแลงานพีอาร์และอีเวนต์, เสียงดีทวีสุข ดูแลการมิกซ์เสียง และบริษัทด้านการตลาดน้องใหม่ อย่างบริษัท น้ำดี ไม้งาม จำกัด ที่จะรับผิดชอบการทำโปรโมชั่นให้กับภาพยนตร์และซีรีส์ของ GDH และนาดาว รวมทั้งพันธมิตรที่เป็นผู้สนับสนุน
สำหรับนาดาว บางกอก จากบริษัทบริหารศิลปิน เริ่มลงทุนผลิตละครเองตั้งแต่ปี 2561 เริ่มจากละครเรื่องเลือดข้นคนจาง ที่สร้างกระแสความสนใจจากผู้ชมอย่างมาก จากปรากฏการณ์ “ใครฆ่าประเสริฐ” จนทำให้ศิลปินนาดาวต่อยอดสู่การเป็นพรีเซนเตอร์ของผลิตภัณฑ์ต่างๆ จนมาถึงละครเรื่อง “รักฉุดใจนายฉุกเฉิน” ที่สร้างกระแสความนิยมเช่นเดียวกัน ทำให้ผลประกอบการเพิ่มขึ้น 34% มีรายได้ประมาณ 370 ล้านบาท
นาดาว บางกอก มีรายได้จากการบริหารศิลปินเป็นหลัก โดยมีสัดส่วนอยู่ประมาณ 70% อีก 30% มาจากการผลิต (โปรดักชั่น) เช่น ละคร ซีรีส์ และล่าสุดได้เปิดตัว บริษัท นาดาว มิวสิค เพื่อต่อยอดงานด้านเพลงให้กับศิลปินนาดาว ขณะเดียวกันนาดาว ซึ่งเติบโตจากธุรกิจบริหารศิลปิน ยังมีโครงการ Nadao Academy เพื่อค้นหาเด็กมาฝึกเป็นศิลปิน นักแสดง รวมทั้งมีโครงการพัฒนาคนทำงานรุ่นใหม่ ทั้งในแง่เขียนบท และกำกับ เป็นต้น
นอกจากนี้ นาดาวยังเป็นผู้ผลิตละครรายแรกๆ ที่พัฒนาคอนเทนต์ให้เฉพาะช่องทางสื่อใหม่ อย่าง Line TV, HOOQ และ AIS PLAY และวันนี้ยังมีพันธมิตรใหม่เข้ามามากขึ้น เช่น WETV Viu รวมทั้ง Netflix และแอปพลิเคชั่นใหม่ของจีนอย่าง iQiTi ซึ่งจะทำให้ผู้ชมเข้าถึงคอนเทนต์ของ GDH และนาดาวเพิ่มมากขึ้น
“เราเชื่อว่าการสร้างสรรค์งานที่ดี จะสร้างทุกอย่างเอง ช่วง 4 ปีที่ผ่านมาถือว่าโอเคมาก เราทำหน้าที่ได้อย่างดี จากการมีประสบการณ์มากขึ้น ทำงานได้เร็วขึ้น รวมทั้งผลตอบรับที่ดีทั้งในแง่คนดู รายได้ และรางวัล เป็นเครื่องพิสูจน์ผลงานของเรา”
สำหรับ จินา ผู้บริหารค่ายหนังอารมณ์ดีในวัย 55 ปี ที่เริ่มวางมือให้กับน้องๆ ทีมงานรุ่นใหม่ หลังชีวิตผ่านความยากลำบากในช่วง 6 ปีแรก ที่ทุกคนต้องอดทนเพื่อทำให้ความฝันในการสร้างค่ายหนังอารมณ์ดี สร้างสรรค์งานที่มีคุณภาพ นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท GTH เมื่อปี 2547 จนภาพยนตร์เรื่องรถไฟฟ้ามาหานะเธอ ที่ทำรายได้สูงเกือบ 150 ล้านบาท เข้ามาเปลี่ยนชีวิต วันนี้ GDH เติบโตอย่างแข็งแรงมากขึ้น และมีนาดาวที่เข้ามาช่วยสร้างการเติบโตให้กับอาณาจักรความบันเทิงแห่งนี้
เรื่องราวน่าสนใจเพิ่มเติม- อิ๊กดราซิล กรุ๊ป สู่เป้าหมาย “ครีเอทีฟดิจิทัลคอนเทนต์ฮับ” ระดับโลก
- “ดรีม เอกซ์เพรส” นักปั้นธุรกิจซูเปอร์ฮีโร่