AMA ฝ่าคลื่นธุรกิจเดินเรือภูมิภาคตอบโจทย์ลูกค้าผู้ผลิตน้ำมันปาล์มระดับโลก พิศาล รัชกิจประการ กัปตันผู้ขับเคลื่อนนาวามุ่งมั่นสร้างการเติบโตมากกว่า 25% ต่อปีและทำรายได้กว่า 1 พันล้านบาทในปีนี้
โอกาสทางธุรกิจที่เล็งเห็นจากการแตกยอดกิจการค้าน้ำมันของครอบครัวภายใต้บริษัท ภาคใต้เชื้อเพลิง จำกัด (ปัจจุบันคือ บมจ. พีทีจี เอ็นเนอยี หรือ PTG) ซึ่งต้องการใช้เรือขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง ทำให้ พิพัฒน์ รัชกิจประการ ญาติผู้พี่ของ พิศาล ซึ่งเป็นประธานกรรมการของ AMA ในปัจจุบัน ก่อตั้งธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าเหลวทางเรือและทางรถ ทั้งในประเทศและต่างประเทศขึ้น ภายใต้ชื่อ บริษัท อาม่า มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ AMA ในปี 2539 ทดแทนจากที่เคยใช้บริการขนส่งน้ำมันของบริษัทอื่น พิศาล รัชกิจประการ กรรมการผู้จัดการ บมจ. อาม่า มารีน ในวัย 48 ปี เล่าความเป็นมาของการเข้าร่วมงานที่ต้องผ่านการพิสูจน์ฝีมือจนกระทั่งได้รับตำแหน่งปัจจุบันว่า เขาต้องใช้ความรู้สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ระดับปริญญาตรี-โทจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ประกอบกับความเชี่ยวชาญที่เคยเก็บเกี่ยวจากการทำงานในธุรกิจเดินเรือ บริษัท วี เอส พี มารีน จำกัด และธุรกิจอื่นๆ ของครอบครัว จึงได้รับคำชวนจาก พิพัฒน์ ให้มาทำงานที่ AMA เพราะแม้จะเป็นทายาท แต่ครอบครัวรัชกิจประการจะมอบหมายหน้าที่ให้ผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมเท่านั้น “คุณพิพัฒน์ไม่เคยวางให้น้องของตัวเองขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ขององค์กร น้องๆ ทุกคนต้องพิสูจน์ตัวเอง แม้แต่ตัวผมเองถ้าทำไม่ได้วันหนึ่งก็ต้องไป หรืออาจจะไปเร็วกว่าลูกจ้างคนอื่นด้วย” พิศาลกล่าว ล่องสู่น่านน้ำใหม่ นับจากที่ครอบครัวเห็นธุรกิจเดินเรือเป็นเส้นทางต่อยอดความมั่งคั่ง ช่วง 5 ปีแรก AMA ให้บริการเฉพาะการขนส่งภายในประเทศและเน้นการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นหลัก กระทั่งขยายกองเรือเพิ่มเมื่อปี 2544 จึงเริ่มออกให้บริการยังต่างประเทศมากขึ้น สุดท้ายจึงทำให้รายได้มาจากต่างประเทศทั้งหมด 100% ตั้งแต่ปี 2548 อย่างไรก็ตาม เมื่อเริ่มให้บริการขนส่งด้วยรถบรรทุกในปี 2557 ผ่านบริษัทลูก คือ บริษัท เอ เอ็ม เอ โลจิสติกส์ จำกัด (AMAL) ทำให้อัตราส่วนรายได้รวมของ AMA ปรับเปลี่ยนเป็นจากธุรกิจขนส่งทางเรือราว 70% และรถบรรทุกที่ 30% ในปัจจุบัน สำหรับผลประกอบการงวดสิ้นปี 2559 มีรายได้รวม 965.5 ล้านบาทและคาดว่าจะทำรายได้เกินกว่า 1 พันล้านบาทภายในสิ้นปีนี้ โดยมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap.) ทะลุ 1 หมื่นล้านบาทแล้วตั้งแต่เมื่อปลายปีก่อน พิศาลกล่าวว่าการขนส่งต่างประเทศมีข้อดีกว่าในประเทศจากอัตรากำไรขั้นต้นที่สูง และระยะการชำระเงินสั้นเพียง 3 วัน เทียบกับในประเทศที่ต้องให้เครดิต 30 วัน กระนั้น การออกแสวงหาโอกาสในต่างประเทศก็ไม่ง่าย เพราะในช่วงเริ่มต้นลูกค้ายังไม่รู้จักชื่อเสียงของ AMA และมีทุนจดทะเบียนน้อย มีกองเรือเพียง 3-4 ลำ จึงต้องใช้เวลาสร้างความมั่นใจกับลูกค้าผ่านทางโบรกเกอร์ในมาเลเซียและสิงคโปร์อยู่นานจนได้งานแรกที่ให้บริการขนส่งน้ำมันพืชจากมาเลเซียไปเมียนมา โดยใช้เวลาพิสูจน์ศักยภาพอยู่กว่า 4 ปีจึงจะเริ่มดีขึ้นในปี 2548 จุดเปลี่ยนสำคัญของ AMA เริ่มจากเมื่อปี 2543 ที่เห็นสัญญาณบอกเหตุว่า PTG ซึ่งเป็นลูกค้าหลัก จะหันไปขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงทางบกโดยรถ 100% พิศาลจึงตัดสินใจหันไปจับตลาดขนส่งน้ำมันพืชที่มีปริมาณการขนส่งมากทดแทน เพราะต้องดิ้นรนอยู่ในธุรกิจนี้ให้ได้ ไม่เพียงเท่านั้น พิศาลยังมองการณ์ไกลตัดสินใจเลือกลงทุน เรือที่มีเปลือกเรือสองชั้นหรือ double hull เมื่อปี 2549 จากเดิมที่เรือทั้งหมดของบริษัทเป็นแบบเปลือกเรือชั้นเดียวหรือ single hull แม้ว่าในตอนนั้นทุกประเทศจะไม่ได้ดำเนินตามกฎที่เรือขนส่งสารเคมีต้องเป็นแบบ double hull ซึ่งทำให้ AMA ได้ลูกค้าเพิ่มขึ้นในช่วงที่คู่แข่งรายอื่นยังไม่พร้อมเมื่อกฎเกณฑ์ถูกบังคับใช้ อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสูงสุดอยู่ที่การเป็นที่ยอมรับของลูกค้าระดับโลก ซึ่งในมุมมองของพิศาล ประกอบด้วย ตัวชี้วัด 3 ด้าน ได้แก่ ขนส่งตรงเวลา ไม่มีสิ่งเจือปน และปริมาณสินค้าครบตามกำหนดเช่นเดียวกับที่ต้องสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้าของลูกค้า หรือผู้รับซื้อน้ำมันด้วย เนื่องจากเป็นฝ่ายให้ความเห็นที่ส่งผลกับการตัดสินใจใช้บริการของลูกค้าที่เป็นผู้เช่าเรือด้วย วิสัยทัศน์เหล่านี้ทำให้ AMA ขึ้นแท่นเป็นกองเรือขนส่งน้ำมันพืชที่ใหญ่ที่สุดในไทยและเป็นที่ 2 ในอาเซียน โกยรายได้โต 25% ต่อปี เมื่อช่วงสิ้นปีที่ผ่านมา AMA ได้ระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งแรกให้แก่ประชาชน (ไอพีโอ) จำนวน 108 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 23.63% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดที่ราคา 9.99 บาท/หุ้น คิดเป็นเม็ดเงินระดมทุนได้ 1.1 พันล้านบาท เพื่อเป็นพลังสร้างรายได้เติบโตเฉลี่ย 25% ต่อปีขึ้นไป “ที่ผ่านมาเราก็ทำได้มาโดยตลอด แต่เชื่อว่าจากปีนี้เทียบกับปีที่ผ่านมาน่าจะทำได้มากกว่า 25% เรายังมีช่องทางเติบโตได้อีกมาก และที่สำคัญคือในช่วงไม่เกิน 5 ปีนี้ เราต้องการให้ทั่วภูมิภาคเอเชียรู้จักเรือ AMA” สำหรับกลยุทธ์บริษัท ได้แก่ การขยายเส้นทางขนส่งและฐานลูกค้าไปยังเส้นทางใหม่ มุ่งไปยังน่านน้ำแถบเอเชียตะวันออกและเอเชียใต้ โดยในปีที่ผ่านมาสร้างรายได้จากเส้นทางแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ราว 85% ของรายได้ทั้งหมด แต่หลังจากขยายเส้นทางใหม่คาดว่า ต่อไปจะเป็นรายได้จากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 50% และเส้นทางอื่นๆ ของเอเชียอีก 50% พร้อมกับเพิ่มช่องทางในการขนส่งผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น ยางมะตอย น้ำมันเชื้อเพลิง กากน้ำตาลและสารเคมีที่มีความอันตรายไม่สูง ขณะเดียวกัน บริษัทยังขยายศักยภาพด้วยการขยายกองเรือ/กองรถบรรทุก เตรียมขยายกองเรือเพิ่มอีก 2 ลำภายในปี 2560 จาก ณ สิ้นไตรมาส 3/59 มีทั้งหมด 8 ลำ ขนาดบรรทุกทั้งหมด 46,661 เดทเวทตัน (DWT) เมื่อเพิ่มจำนวนเรือแล้วจะเพิ่มขนาดบรรทุกอีกเกือบเท่าตัวนั่นคือราว 37,000 - 41,000 DWT และขยายกองรถจำนวน 80-100 คัน จาก ณ สิ้นไตรมาส 3/59 มีรถบรรทุกสินค้าเหลว (liquid tank truck) 80 คัน ปริมาณบรรทุกรวม 3.6 ล้านลิตร เมื่อขยายกองรถแล้วจะทำให้บรรทุกเพิ่มได้อีกประมาณ 3.6-4.5 ล้านลิตร ทั้งนี้ อัตราส่วนรายได้จะยังคงมาจากฝั่งธุรกิจขนส่งทางเรือ 65-70% และขนส่งทางรถบรรทุกที่ 30-35% “การระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ นอกจากการนำเงินมาลงทุนขยายธุรกิจ เรามองว่ายังสามารถเสริมภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือขององค์กรว่า เราสามารถบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความเป็นมาตรฐาน ไม่ได้ทำงานแบบกงสีหรือเป็นธุรกิจครอบครัว” ท้ายที่สุด พิศาลยังยืนยันในเป้าหมายเดิมที่จะมุ่งปั้นรายได้ให้ถึง 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งการเข้าซื้อกิจการจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยทะยานให้ถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้นคลิกอ่านฉบับเต็ม "พิศาล รัชกิจประการ แห่ง AMA โลดแล่นนาวาพันล้าน" ได้ที่ Forbes Thailand Magazine ฉบับ มีนาคม 2560