งานยากของการสร้างธุรกิจที่ผลิตภัณฑ์เป็นนวัตกรรมใหม่และยังไม่เป็นที่รู้จักของตลาดคือการต้องใช้ความอดทน ความเชื่อมั่น ความซื่อสัตย์ และการรู้รอบด้านในสถานการณ์ธุรกิจ ดังเช่นที่ ซุง ชง ทอย ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ บริษัท ชริ้งเฟล็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ได้ถ่ายทอดประสบการณ์การสร้างธุรกิจ “ชริ้งฟิล์ม” มานานกว่า 13 ปี
ย้อนกลับไปราว 13 ปีก่อน ซุง ชง ทอย เดินทางร่วมกับเพื่อนไปยังประเทศจีนและเห็นโรงงานผลิตฉลากสำเร็จรูปเฉพาะกลุ่มที่ผลิตฉลากหดรูปจากฟิล์มพลาสติกหรือที่เรียกว่า “ชริ้งฟิล์ม” ซึ่งเมื่อใช้ลมร้อนจะสามารถหดตัวเข้ากับรูปร่างบรรจุภัณฑ์ได้อย่างเรียบเนียน ประกอบกับการเป็นนักธุรกิจที่เดินทางบ่อยโดยเฉพาะในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างฟิลิปปินส์หรือไทย ส่งผลให้เขาเห็นช่องว่างทางการตลาดส่วนนี้ รวมถึงเล็งเห็นว่าประเทศไทยในช่วงเวลานั้นฉลากที่ติดบนบรรจุภัณฑ์ส่วนใหญ่ยังเป็นกระดาษสติกเกอร์ ไม่สวยงาม ไม่ทนทาน เขาจึงตัดสินชักชวนเพื่อนเพื่อก่อตั้ง บริษัท ชริ้งเฟล็กซ์ (ประเทศไทย) สร้างโรงงาน ณ ถนนบางนา-ตราด บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา เพื่อจัดทำฉลากสำเร็จรูปที่ครบวงจรที่สุด-3 ปีแรกธุรกิจไม่เนียบเรียบอย่างที่คิด-
ช่วงเริ่มต้นธุรกิจ ซุง ชง ทอย จำเป็นต้องสลับหมากและวางตัวทีมงานให้เกิดประสิทธิภาพการทำงานให้สูงสุด บางครั้งมีจำนวนออเดอร์เข้ามาแต่กำไรไม่ได้ พอหันมามุ่งมั่นเรื่องการวางระบบเครื่องจักรหรือการบริหารโรงงาน สุดท้ายก็ขาดเรื่องการทำการตลาดให้เป็นที่รู้จักกับลูกค้า ทำให้เขาจำเป็นต้องจ้างผู้จัดการด้านคุณภาพสินค้าและผู้จัดการฝ่ายตลาดที่เป็นมืออาชีพเข้ามาช่วยดูแลและหาตลาด ส่วนตัวเขาเองสุดท้ายแล้วต้องขึ้นแท่นดูแลภาพรวมในทุกด้านเพื่อให้การทำงานครอบคลุมและอุดรูรั่วได้ทุกจุด การควานหาตลาดของเขามุ่งเป้าที่ลูกค้าบริษัทขนาดใหญ่ที่มีจำนวนการผลิตค่อนข้างสูง ในช่วงปี 2550 ที่เขาก่อตั้งชริ้งเฟล็กซ์ ภาพรวมอุตสาหกรรมการพิมพ์ฉลากยังเป็นการสวมมือทีละใบ บริษัทที่สามารถเดินเครื่องจักรสวมฉลากอัตโนมัติที่มีคุณภาพยังมีจำนวนไม่มาก ในฐานะหน้าใหม่และจำนวนพนักงานไม่มาก สิ่งที่ทำให้ลูกค้าให้โอกาสเขา คือการใส่ใจในการทำงาน และการใส่ใจลูกค้า ความพิถีพิถันนี้ทำให้เขาได้รับการยอมรับ เกิดการบอกต่อจนมียอดสั่งพิมพ์เพิ่มมากขึ้นตามลำดับ จังหวะธุรกิจ 3 ปีแรกของกลุ่มผู้บริหารต้องใช้ความอดทนและความเชื่อมั่นในอนาคตของธุรกิจ หลังกู้เงินก้อนแรกจากธนาคาร กำไรที่ได้มา ทีมบริหารได้นำไปต่อยอดขยายตลาดและลงทุนเพิ่มเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับบริษัทเป็นอันดับแรก ผนวกกับการวางโครงสร้างการทำงาน ขยับขยายระบบการบริหารเป็นแบบสากล ซึ่ง ซุง ชง ทอย ประยุกต์มาจากการศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลจากหนังสือบริหารธุรกิจ พร้อมกับคัดเลือกเอาสิ่งที่เหมาะมาปรับใช้กับธุรกิจให้สอดคล้องกับยุคกับสมัย ส่งผลให้ชริ้งเฟล็กซ์เติบโตอย่างรวดเร็ว และมีความพร้อมรับทุกโอกาสที่จะมาถึง หนึ่งในโอกาสครั้งสำคัญของชริ้งเฟล็กซ์คือการได้รับงานจากลูกค้าน้ำอัดลมที่ต้องการพิมพ์ฉลากทำเคมเปญฟุตบอลโลก ซึ่งนับเป็นยอดสั่งพิมพ์ในปริมาณที่สูงล้นกว่ากำลังการผลิตเดิมจะรับได้ แต่เขาก็ไม่ปฏิเสธความท้าทายครั้งสำคัญนี้ ตรงกันข้ามเขากลับลุยต่อด้วยการตัดสินใจสั่งเครื่องจักรนำเข้าจากต่างประเทศทันทีเพื่อผลิตให้ทันตามความต้องการในครั้งนั้น จากความกล้าคิดใหญ่ คิดเร็ว และลงมือทำแบบทันที ส่งผลให้ 3 ปีแรกที่ทีมบริหารร่วมใจร่วมอดทนฝ่าฟันกันมาผ่านพ้นไปได้อย่างสวยงาม จนเมื่อก้าวเข้าสู่ปีที่ 4 ชริ้งเฟล็กซ์เริ่มเห็นกำไรที่ชัดขึ้นตามลำดับ และในปีที่ 5 ธุรกิจก็เริ่มมีรายได้ในระดับ 2 เท่า ควบคู่กับความพร้อมในงานบริการที่ครบยิ่งกว่าเดิม-ภายใต้กลยุทธ์ธุรกิจที่เรียบเนียน-
Shrink label หรือ “ฉลากฟิล์มแบบหดรูป” เป็นฉลากพลาสติกสำหรับห่อบรรจุภัณฑ์ได้อย่างหลากหลาย ปัจจุบันแบ่งออกเป็น 2 ระบบคือ Gravure Printing ที่เป็นการพิมพ์คุณภาพสูง ใช้แม่พิมพ์ในการพิมพ์ออกแบบ อีกระบบคือ Digital Gravure Printing เป็นการพิมพ์ โดยไม่จำเป็นต้องมีแม่พิมพ์ ข้อดีของระบบนี้คือสามารถย่นระยะเวลาการพิมพ์ได้ ทำให้สามารถส่งของได้เร็วขึ้น แต่มีข้อเสียคือราคาจะสูงกว่าจึงเหมาะสำหรับสำหรับสินค้าพรีเมียม สินค้าที่เป็นลิมิเต็ด หรือผลิตเพื่ออกจำหน่ายในเทศกาลสำคัญ หรือการทำโปรโมชั่นต่างๆ อาทิ สินค้ากลุ่มเครื่องสำอาง ซึ่งหากนับเฉพาะในช่วงที่ผ่านมาสัดส่วนการสั่งพิมพ์ด้วยระบบดิจิตอลอยู่ที่ร้อยละ 5 ของรายได้ทั้งหมด จนถึงวันนี้กลุ่มลูกค้าหลักของชริ้งเฟล็กซ์คือกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค แบ่งออกเป็นกลุ่มน้ำดื่ม และกลุ่มเครื่องอุปโภค เช่น แชมพู น้ำยาล้างจาน หรือครีมอาบน้ำ เป็นต้น ซึ่งจะเห็นได้ว่ากลุ่มลูกค้าของชริ้งเฟล็กซ์ค่อนข้างหลากหลาย นั่นก็เพราะเทคนิคการชริ้ง สามารถใช้ได้กับบรรจุภัณฑ์หลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นพลาสติก ขวดแก้ว โลหะ หรือกระป๋องในรูปแบบต่างๆ สำหรับกำลังการผลิตของชริ้งเฟล็กซ์เติบโตเพิ่มขึ้นในทุกปี ปัจจุบันได้บริหารจัดการให้มีกำลังผลิตต่อปีอยู่ที่ร้อยละ 85 คงเหลือไว้ร้อยละ 15-20 เพื่อสำรองกำลังการผลิตสำหรับกลุ่มลูกค้าหลักในกรณีที่มีคำส่งการผลิตเพิ่ม อย่างปี 2562 จากกำลังผลิต 120 ล้านชิ้น ผลิตจริงอยู่ที่ราวร้อยละ 60 ขณะที่ปี 2563 กำลังการผลิตสูงสุดอยู่ที่ 133 ล้านชิ้น คาดว่าจะมีการผลิตอยู่ที่ร้อยละ 70 จากตัวเลขกำลังผลิตที่เพิ่มเติมในแต่ละปีสะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพของกลยุทธ์ 4 ข้อ ที่บริษัทได้วางเอาไว้นั้นคือ คุณภาพ ราคา บริการ และความสัมพันธ์ โดยชริ้งเฟร็กซ์ดำเนินธุรกิจที่เป็นมากกว่าแค่ “ผลิตและส่ง” แต่ยังพร้อมจะช่วยแก้ปัญหาใหักับลูกค้า อาทิ การทำการตลาด การผลิตสินค้าตัวอย่าง หรือการมีฟิลม์ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการไม่ว่าชิ้นงานนั้นจะยากแค่ไหนก็ตาม “ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับลูกค้าสร้างจากคุณภาพและการบริการ” ซุงกล่าวและเสริมถึงการวางกลยุทธ์ 4 ข้อในการดึงลูกค้าให้มาอยู่กับบริษัท นอกจากกลยุทธ์ข้างต้นแล้ว อีกหนึ่งปัจจัยที่เสริมทัพให้ชริ้งเฟล็กซ์แข็งแกร่งขึ้นคือการนำเครื่องจักรทันสมัยมาใช้ในการผลิต ไม่ว่าจะเป็นเครื่องพิมพ์ ตู้อบไอน้ำ และตู้อบแบบลมร้อน ที่สำคัญยังมีประสบการณ์ความเชี่ยวชาญของพนักงานที่ร้อยละ 40 อายุงานเกิน 5 ปี หรือพนักงานบางคนอยู่มาตั้งแต่บริษัทก่อตั้งเป็นหัวใจหลัก เพราะทุกคนมีความถนัดเฉพาะตัวที่พร้อมให้บริการอย่างตรงจุด ความพร้อมในทุกด้านนี้เองที่ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ส่งผลให้ชริ้งเฟล็กซ์สามารถคว้าทุกโอกาสที่มีตรงหน้าได้เสมอ-ซีอีโอ แอคชั่น-
โรงงานของซริ้งเฟล็กซ์ บริหารการทำงานในส่วนของโรงงานแบบ 24 ชั่วโมง ด้วยเครื่องจักร 4 เครื่องที่ทันสมัยทำให้สามารถเดินสายการผลิตได้มากกว่าโรงงานอื่นราวร้อยละ 20-30 และด้วยความพร้อมของการผลิตแบบไม่มีวันหยุดส่งผลให้ลูกค้าส่วนใหญ่ของชริ้งเฟล็กซ์เป็นลูกค้ารายปีต่อสัญญากันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากจุดนี้เองส่งผลให้ชริ้งเฟล็กซ์จะรู้ต้นทุนการผลิตและสามารถบริหารสัดส่วนของจำนวนการทำงานได้อย่างแม่นยำ ถึงแม้จะเป็นโรงงานที่เน้นหนักเรื่องการผลิต แต่เรื่องการบริหารก็ถือเป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญไม่แพ้กัน ทุกเดือนทีมบริหารของชริ้งเฟล็กซ์จะมีการประชุมด้านตัวเลข การตลาด การผลิต และข่าวสารของลูกค้าเพื่อนำมาวิเคราะห์ผลกำไรต่างๆ ให้ครอบคลุมต่อการดูแลพนักงานกว่า 400 คนได้อย่างราบรื่น ชริ้งเฟล็กซ์แบ่งการทำงานระหว่างฝ่ายบริหารและฝ่ายผลิตในสัดส่วน 30:70 เพราะเรื่องการบริหารตัวเลขเป็นสิ่งที่ ซุง ชง ทอย ให้ความสำคัญอย่างมาก เขาจะพิจารณาการปิดงบ และการเช็คสต๊อกอย่างละเอียด เมื่อถึงสิ้นปีก็จะทำการวิเคราะห์ว่าในแต่ละเดือนผลิตฉลากสินค้าประเภทใดบ้าง มากน้อยต่างการแค่ไหนเพื่อตามเทรนด์ตลาดให้ทัน จากการสำรวจฉลากสินค้าอย่างต่อเนื่อง ซุง ชง ทอยพบว่าสินค้าประเภทน้ำดื่มจะขายดีในช่วงหน้าร้อนตั้งแต่เดือน 3 ถึงเดือน 6 และเมื่อเข้าหน้าฝนช่วงเดือน 6 ถึงเดือน 8 สินค้าพวกครีมอาบน้ำหรือแชมพูจะขายดี เมื่อทราบสัดส่วนต่างๆ เหล่านี้แล้ว ซุง ชง ทอยจะนำมาวิเคราะห์เพื่อเจาะตลาดต่อไป เนื่องจากมีผลวิจัยชี้ให้เห็นว่า ใน 6 ปีอุตสาหกรรมฟิล์มหดรูปสามารถเติบโตได้อีกร้อยละ 80 จากปัจจุบัน ทุกปีในฐานะ ซีอีโอ เขาได้รับแอคชั่นแพลนให้เข้าพบลูกค้ารายใหญ่ๆ เพื่อรับฟัง แลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ และดีลทางการค้า ทว่าไม่ใช่เฉพาะลูกค้ารายใหญ่ที่ ซุง ชง ทอยให้ความสำคัญ เพราะเขาเชื่อว่าลูกค้าทุกรายคือคนสำคัญ และเป็นโอกาสทางธุรกิจทั้งหมด บางรายเป็นลูกค้าตั้งแต่บริษัทยังเล็กๆ จนปัจจุบันเข้าบริษัทมหาชน หรือบางรายเมื่อได้ทดลองทำงานกันแล้วก็เปลี่ยนมาใช้ชริ้งเฟล็กซ์ในการผลิตทั้งหมดก็มี การเติบโตอย่างต่อเนื่องของชริ้งเฟล็กซ์ ซีอีโอคนนี้เชื่อว่ามีปัจจัยหลักมาจากการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในการผลิตอย่างต่อเนื่อง ทั้งเรื่อง อินโนเวชั่น หรือการพัฒนาและวิจัย เพื่อให้ลูกค้าสามารถสร้างผลกำไรที่ดีขึ้น อีกหนึ่งแอคชั่นในฐานะซีอีโอคือ "การแบ่งปันประสบการณ์" เขาจะนำความรู้ที่มีมาเปิดสัมมนาและอบรมภายในให้พนักงานทุกระดับชั้นฟังอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่ผู้จัดการฝ่าย ผู้จักการแผน และพนักงานทั่วไป ภายใต้จุดมุ่งหมายสำคัญคือการแบ่งปันความรู้แต่ละแผนกเข้าด้วยกันเพื่อให้หนักงานทุกตำแหน่งสามารถทำงานแทนกันได้ สำหรับการบริหารทีมงาน ซุง ชง ทอย ใส่ใจใน 4 ด้าน ได้แก่ คน คือต้องมีคนส่งสินค้า เงิน ถ้ามีเงินการทำงานก็ไม่ติดขัด เวลา เครื่องต้องพร้อมเดินตลอดมี 24 ชั่วโมง และสมอง ถ้าเราคิดวิเคราะห์ เห็นก่อน รู้ก่อน เดินหน้าก่อน เราก็มีโอกาสชนะก่อนที่อีกฝ่ายจะออกตัวด้วยซ้ำ “ไม่ว่าใครก็ตามก็ต้องผ่านจุดที่ใช้แรงมาก่อน ใช้แรงไปหาเงินหารายได้ ตอนนี้อายุ 50 ปี แรงไม่ค่อยมีก็ต้องใช้สมองไปบริหารให้มาก” ซุง ชง ทอยกล่าวและเสริมว่าหลังเข้าตลาดหลักทรัพย์ ชริ้งเฟล็กซ์เตรียมขยายโรงงานอีกแห่งห่างออกไปราว 8 กิโลเมตรซึ่งเป็นที่ติดกับคลังสินค้าของบริษัทคาดใช้เวลาสร้างราว 1 ปี เพื่อรองรับการผลิตที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นอีกไม่นานเราอาจได้เห็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่สามารถแข่งขันได้ในประเทศไทยและพร้อมสู้กับต่างประเทศ ภาพโดย: ทวีศักดิ์ ภักดีหุ่นไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine