หากมองที่การแข่งขันทางธุรกิจแล้ว พบว่า การเป็น Big Fish หรือ “ปลาใหญ่” มีข้อได้เปรียบมากมาย แต่ข้อเสียเปรียบอย่างเดียวที่มีอยู่ คือ การเป็น “ปลาใหญ่” อาจจะเคลื่อนตัวหรือปรับตัวได้ช้ากว่าปลาเล็กที่ว่ายน้ำได้เร็ว โดยเฉพาะในยุคที่เรื่องของความเร็วหรือสปีดในการทำธุรกิจกลายเป็นอีกหนึ่งหัวใจของความสำเร็จ
แต่หาก “ปลาใหญ่” หรือองค์กรใหญ่นั้นๆ สามารถปรับตัวได้เร็วกว่า โอกาสของความสำเร็จทางธุรกิจจึงไม่ใช่เรื่องที่เสียเปรียบอีกต่อไป เช่นเดียวกับวิสัยทัศน์ของ อัญรัตน์ พรประกฤต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) แม่ทัพของ Jubilee แบรนด์เครื่องประดับเพชร ที่ปรับกลยุทธ์ได้อย่างรวดเร็ว จนประสบความสำเร็จในด้านยอดขายตลอด 9 เดือนที่ผ่านมา และจะเป็นทิศทางที่จะมุ่งต่อไป อัญรัตน์ กล่าวว่า ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ตลาดรวมได้รับผลกระทบจากโควิด - 19 เช่นเดียวกับธุรกิจต่างๆ แต่ Jubilee สามารถก้าวข้ามความท้าทายจากวิกฤตโควิด-19 มาได้ เพราะมีการเตรียมความพร้อมอยู่เสมอ เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ ด้วยการปรับตัวอย่างรวดเร็ว พร้อมปรับกลยุทธ์รับมือกับการเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น “ในช่วงของการล็อกดาวน์นั้น ทำให้ห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้าต่างต้องปิดให้บริการลงตามนโยบายของภาครัฐ ซึ่งส่งผลต่อสาขาของ Jubilee ที่ส่วนใหญ่อยู่ในห้างหรือในศูนย์การค้า แต่ด้วยการมองเห็นโอกาสจากการขายผ่านช่องทางอี-คอมเมิร์ซ จึงปรับใช้ช่องทางขายดังกล่าวอย่างทันท่วงทีจนสามารถเปิดให้บริการทดแทนช่องทางการขายที่หายไปของ Jubilee ได้เป็นอย่างดี แม้จะไม่สามารถชดเชยยอดขายได้ทั้งหมด แต่ก็เป็นแรงพยุงการดำเนินงานของบริษัทไม่ให้หยุดชะงัก” อัญรัตน์กล่าว ทั้งนี้ Jubilee ได้พัฒนาช่องทางดิจิทัลเมื่อช่วง 2–3 ปีที่ผ่านมา โดยเริ่มจากการใช้ดิจิทัล มาร์เก็ตติ้งเพื่อเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มใหม่มากขึ้น ผ่านช่องทางโซเชียล มีเดีย ซึ่งทำให้ Jubilee สามารถขยายฐานกลุ่มคนรุ่นใหม่ กลุ่มวัยรุ่นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พอเกิดสถานการณ์โควิด-19 ที่สาขาของร้าน Jubilee 95% อยู่ในห้างสรรพสินค้าต้องปิดตัวลง บริษัทจึงยกคอลเล็กชั่นของสินค้าทั้งหมดเข้าสู่แพลตฟอร์มออนไลน์ และเปิดขายสินค้าได้อย่างเต็มรูปแบบ พร้อมด้วยระบบการชำระเงิน รูปแบบการทำโปรโมชั่นร่วมกับบัตรเครดิตต่างๆ รวมทั้งบริการหลังการขาย เช่นเดียวกับการเปิดร้านปกติ ได้ภายใน 5–7 วัน เพราะได้เตรียมตัวมาอย่างดี ที่สำคัญเป็นการเพิ่มโอกาสที่มากขึ้นด้วยการเปิดขาย 24 ชั่วโมง สำหรับปี 2563 นี้ ยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์ของ Jubilee เพิ่มขึ้นเป็น 1000% ขณะเดียวกันได้ขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ มากขึ้น ซึ่งโดยปกติ Jubilee จะมีลูกค้าใหม่ที่เข้ามาซื้อสินค้าในช่องทางปกติ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 40% แต่ในช่องทางออนไลน์เป็นลูกค้ากลุ่มใหม่ถึง 80% และมีอายุตั้งแต่ 18 ปี ซึ่งบริษัทจะให้ความสำคัญกับการทำกิจกรรมการตลาดกับลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น เพื่อพัฒนาให้เป็นลูกค้าประจำ ปัจจุบัน Jubilee มีฐานลูกค้าประจำราว 1.8 แสนราย โดยในปี 2654 บริษัทมีแผนการตลาดเชิงรุกในช่องทางออนไลน์อย่างต่อเนื่องปี 2564 เตรียมแผนธุรกิจรับมือ
อัญรัตน์ กล่าวว่า ในปี 2563 ถือเป็นปีที่เผชิญกับวิกฤตหนักที่สุดแล้วสำหรับ Jubilee เพราะตั้งแต่ทำธุรกิจมา ไม่เคยเจอกับภาวะที่ต้องปิดร้านทุกสาขา เพราะฉะนั้นในมุมมองแม้ว่าในปี 2564 ยังต้องเผชิญกับความท้าทายทั้งทางด้านเศรษฐกิจ และสถานการณ์ของโรคระบาดที่ยังมีความเสี่ยง แต่ด้วยการเตรียมองค์กรให้พร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้มั่นใจว่าจะสามารถผ่านสถานการณ์ต่างๆ ไปได้ด้วยดี สะท้อนจากผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 ของปี 2563 ที่เติบโตอย่างน่าพอใจ และสามารถทำกำไรได้ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา และในปี 2564 บริษัทวางเป้าหมายการเติบโตที่ประมาณ 10% “สิ่งที่ Jubilee เน้นย้ำอยู่ตลอดเวลาก็คือ ความเป็นผู้นำที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจค้าปลีกเพชรของประเทศไทย ด้วยความพร้อมในการปรับตัวและปรับกลยุทธ์ธุรกิจอย่างรวดเร็ว สะท้อนผ่านผลประกอบการเป็นที่น่าพอใจแม้จะเผชิญกับภาวะวิกฤต ปัจจัยขับเคลื่อนความสำเร็จมาจากโครงสร้างธุรกิจที่แข็งแกร่ง สินค้ามีความหลากหลาย ประสานกับการมีนวัตกรรมสอดแทรกในสินค้าให้เกิดความคุ้มค่าและมีคุณภาพสูง มีสาขาจำนวนมากสามารถเข้าถึงลูกค้าได้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายทั่วประเทศ และมีความพร้อมในช่องทางออนไลน์ตอบโจทย์พฤติกรรมลูกค้าในยุคดิจิทัล รวมถึงทีมงานที่เข้มแข็งและมีความเป็นมืออาชีพ” แม่ทัพหญิงแห่ง Jubilee กล่าว สำหรับไตรมาสที่ 3 ปี 2563 Jubilee มีรายได้จากการขาย 520.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 23.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 106.7 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2 ปี 2563 ขณะที่มีกำไรสุทธิ 96.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 54.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 166.3 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2 ปี 2563 สำหรับผลประกอบการในงวด 9 เดือนแรกของปี 2563 บริษัทมีรายได้จากการขาย 1,137.1 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 12.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่มีกำไรสุทธิ 178.8 ล้านบาท ลดลงเพียงร้อยละ 1.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม อัญรัตน์ มองว่า ภาพรวมธุรกิจในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2563 ซึ่งแม้ว่าโดยรวมจะเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัว แต่ยังมีความเสี่ยงและเปราะบางสูง โดยกำลังซื้อของผู้คนบางกลุ่มยังไม่ฟื้นตัว และความไม่แน่นอนทางการเมืองที่เข้ามาเป็นปัจจัยลบ นอกจากนี้ อัญรัตน์ มองว่า มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐ อย่างโครงการช้อปดีมีคืน ที่สามารถนำค่าใช้จ่ายมาลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จะเป็นปัจจัยสนับสนุนเชิงบวกต่อภาคธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจเพชรที่มีความแข็งแกร่ง โดยเฉพาะถ้าเทียบกับสินทรัพย์อื่นๆ เช่น ทองคำ ในช่วงที่ผ่านมามีความผันผวนสูง ขณะที่ราคาเพชรค่อนข้างนิ่ง ทำให้กลุ่มที่มีกำลังซื้อยังลงทุนซื้อเพชรอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ เตรียมกระตุ้นตลาดปลายปีนี้ด้วยการจัดงานอีเว้นท์ใหญ่ร่วมกับพันธมิตร เพื่อโชว์ศักยภาพของ JUBILE ในความเป็นผู้ประกอบการรายเดียวที่เข้าถึงแหล่งเจียระไนเพชรระดับโลกอย่างโปร่งใส ทั้งยังสามารถนำเข้าเพชรกะรัตที่สวยที่สุดจากแหล่งเจียระไนโดยตรง โดยเพชรที่จะนำมาจะมีความหลากหลายทั้งรูปทรง ขนาด สี และราคาพิเศษ โดยการจัดงานต่างๆ จะมีจนถึงต้นเดือนมกราคม 2564 ซึ่งจะทำให้ผลประกอบการไตรมาส 4 ออกมาดีเมื่อเทียบกับไตรมาส 3 และทำให้ทั้งปีติดลบไม่เกินร้อยละ 10 จากปีที่แล้ว “สภาวะเศรษฐกิจโดยรวมเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถคาดเดาได้ และเป็นความท้าทายสำคัญของภาคธุรกิจ แต่การปรับตัวและการแก้เกมธุรกิจที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา จะเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นผู้นำของ Jubilee ด้านธุรกิจปลีกเพชรที่มีความแข็งแกร่ง พร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ ไม่หยุดนิ่งที่จะปรับตัวเพื่อเข้าถึงผู้บริโภคที่หลากหลายด้วยการกิจกรรมต่าง ๆ ผ่านทางออนไลน์และออฟไลน์อย่างต่อเนื่อง” อัญรัตน์กล่าวทิ้งท้าย ถือเป็นอีกภาพสะท้อนของความสำเร็จที่เกิดจากการเป็น “ปลาใหญ่” ในวงการเครื่องประดับเพชรที่ว่ายน้ำได้เร็วของ Jubilee ที่สามารถพลิกวิกฤตเป็นโอกาสทางธุรกิจได้ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine