เมื่องานอดิเรกของนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์มือสมัครเล่นขยับชั้นสู่สังเวียนผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมียมเพื่อการลงทุนเต็มรูปแบบเป็นครั้งแรก พร้อมยึดหัวหาดพัทยาด้วยโมเดลธุรกิจใหม่เปิดตลาดบลูโอเชียนสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดด
ผลตอบแทนที่ได้รับจำนวนหลายล้านบาทจากการขายคอนโดมิเนียมที่ตั้งใจซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองย่านสุขุมวิท 18 ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตของเอ็มดีธุรกิจไอทีให้เล็งเห็นโอกาสการแปรเปลี่ยนความหลงใหลด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เป็นงานอดิเรกที่สามารถสร้างรายได้ระยะยาวนับตั้งแต่ปี 2547 พร้อมสั่งสมประสบการณ์และฝึกปรือฝีมือเพื่อเริ่มต้นเส้นทางธุรกิจในฝัน จนกระทั่งลงจากเก้าอี้เอ็มดีของธุรกิจไอทีของครอบครัวประสบความสำเร็จและกำลังเดินหน้า สู่การเริ่มต้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของ ชนินทร์ วานิชวงศ์ ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด อย่างไรก็ตาม ความเปลี่ยนแปลงของราคาคอนโดมิเนียมที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ชนินทร์เริ่มมองหาโอกาสการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ทำเลดีตามหัวเมืองต่างจังหวัด ปักหมุดชายทะเลใกล้เมือง ท่ามกลางคอนโดมิเนียมและอสังหาริมทรัพย์ที่เดินหน้าเปิดตัวอย่างต่อเนื่องในเมืองพัทยาอาจจะดูเหมือนไม่มีที่ว่างให้ผู้เล่นหน้าใหม่ได้แจ้งเกิดในธุรกิจ แต่ชนินทร์กลับสามารถสร้างชื่อให้ ฮาบิแทท กรุ๊ป เป็นที่รู้จักและได้รับการจับตามองในฐานะนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่สามารถสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากการใช้โมเดลธุรกิจใหม่เป็นอาวุธในน่านน้ำที่ไร้คู่แข่งขัน ชนินทร์กล่าวถึงการเลือกพัทยาเป็นทำเลยุทธศาสตร์แรกในการสร้างอาณาจักร กลยุทธ์สำคัญที่ซีอีโอวัย 40 ปี เลือกใช้สร้างความแตกต่างเพื่อสร้างน่านน้ำการแข่งขันใหม่อยู่ที่โมเดลธุรกิจการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์สำหรับการลงทุนโดยทีมงานมืออาชีพเป็นผู้บริหาร เพิ่มมูลค่าอสังหาริมทรัพย์และสร้างรายได้จากการเช่ารวมถึงการจัดการทรัพย์สินและบำรุงรักษาตัวอาคารตลอดจนบริเวณโดยรอบโครงการให้อยู่ในสภาพดีเสมอ พร้อมให้ผลตอบแทนคงที่เป็นระยะเวลา 5 ปี หลังจากนั้นจึงมีการต่อสัญญาการบริหารการเช่า ซึ่งให้ผลตอบแทนแบบเดียวกันหรือเปลี่ยนเป็นการแบ่งกำไรจากผลประกอบการตามสัดส่วนที่แต่ละโครงการกำหนด ขณะที่โครงการได้รับการออกแบบการก่อสร้างตามกฎหมาย พ.ร.บ.โรงแรม ปี 2547 ซึ่งลูกค้าทุกยูนิตมีสัญญาปล่อยเช่ากับโครงการ ทำให้สามารถแปลงการใช้ประโยชน์คอนโดมิเนียมเป็นโรงแรมได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งยังสามารถปล่อยเช่ารายวันได้เสมือนโรงแรมทั่วไป “ในพัทยาทุกคนทำเพื่อขาย หรือบางส่วนมีการันตี 2-3 ปี แต่ไม่ได้บริหารเต็มรูปแบบเหมือนเรา เราถือเป็นผู้บุกเบิกตลาดที่มีโมเดลชัดเจนที่สุด ซึ่งโครงการเราจะเป็น Fully Furnish โดยใน 1 ปีสามารถใช้ได้ 14 วันไม่เสียค่าใช้จ่าย เหมือนได้บ้านที่เราจ่ายค่าเช่าให้ทุกเดือนและเราดูแลการเช่าให้ทั้งหมด” แม้ชนินทร์จะมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการลงทุนคอนโดมิเนียม แต่หลังจากสำรวจความต้องการตลาดและปริมาณการขายคอนโดมิเนียมในพัทยานับหมื่นยูนิต ทำให้เขาเลือกสร้างบ้านพูลวิลล่าเป็นโครงการแรกในไตรมาสแรกปี 2556 ซึ่งสามารถจำหน่ายหมดในเวลาไม่ถึง 18 เดือน ภายใต้ชื่อ เดอะวิลล์จอมเทียน (The Ville Jomtien) จำนวน 80 หลัง แบ่งเป็นวิลล่าสำหรับอยู่อาศัยและการลงทุน เพื่อรองรับกลุ่มเป้าหมาย เช่น ชาวต่างชาติวัยเกษียณจากประเทศในกลุ่มยุโรปและนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องการผลตอบแทนจากการเช่า “ถ้าเราสร้างคอนโดมิเนียมหรือวิลล่าอยู่อาศัยจะเหมือนกับซัพพลายจำวนมากในตลาด เราต้องการสร้าง Niche Market เราจึงลองตลาดด้วยโมเดลธุรกิจใหม่ เราเป็นนักพัฒนาอสังหาฯ ที่มีแนวคิดแตกต่างเพราะมาจากนักลงทุนรายย่อยที่มีความรู้ความเข้าใจในดีมานด์ของผู้ซื้ออยู่อาศัยและซื้อเพื่อลงทุน รวมถึงปัญหาต่างๆ ที่เป็นเหมือนบทเรียนให้ประสบการณ์มากกว่า 10 ปี” ชนินทร์กล่าวเสริม อย่างไรก็ตาม กว่าโครงการแรกจะสำเร็จไม่ใช่เรื่องง่าย ชนินทร์ใช้เวลาเรียนรู้และปรับตัวจากการเป็นนักลงทุนส่วนบุคคลสู่ผู้ประกอบการเป็นเวลากว่า 2 ปี พร้อมก้าวผ่านความท้าทาย ทั้งด้านเงินลงทุนในโครงการ ระบบการก่อสร้าง และผู้รับเหมามืออาชีพที่สามารถส่งมอบงานคุณภาพได้ตรงเวลา รวมถึงการขายและลงพื้นที่ทำการตลาดด้วยตัวเอง หลังจากโครงการแรกได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี ชนินทร์พร้อมยกระดับผลิตภัณฑ์ให้พรีเมียมยิ่งขึ้นในโครงการถัดมา ได้แก่ โครงการครอสทู ไวบ์ พัทยา ซีเฟียร์ (X2 Vibe Pattaya Seaphere) มูลค่า 300 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 65 ยูนิต ในระดับราคา 3-7.5 ล้านบาท และโครงการครอสทู พัทยา โอเชี่ยนเฟียร์ (X2 Pattaya Oceanphere) มูลค่า 780 ล้านบาท พูลวิลลา 59 ยูนิต ในระดับราคา 9.79-15.5 ล้านบาท พร้อมการันตีค่าเช่า 7% เป็นเวลา 5 ปี “X2 เป็นแบรนด์ต่างประเทศที่มีประสบการณ์ มีความเป็นบูทีคและมีคาแรกเตอร์โดดเด่น เราจึงให้ X2 ดูแลการเช่าโครงการที่ 2 ทั้งหมด ซึ่งเปิดขายในปี 2558 ใช้เวลาไม่ถึง 6 เดือนสามารถปิดการขายได้หมด รวมถึงเรายังมีการจับมือกับแบรนด์ระดับโลกในโครงการที่ 4 ปี 2559 ซึ่งสามารถปิดการขายได้หมดก่อนจะเริ่มโครงการที่ 5 ในปีนี้” ชนินทร์ กล่าวถึงการเปิดตัวโครงการนับตั้งแต่ ปี 2555 จนถึงปัจจุบันรวม 5 โครงการ มูลค่า 2.84 พันล้านบาท “เราเป็นบริษัทเล็กที่คิดแบบบริษัทใหญ่ เราให้ความสำคัญกับรายละเอียดทุกมิติ ทั้ง landscape, architecture, design, interior รวมถึงการคิดนอกกรอบ เพราะถ้าเราคิดเหมือนคนอื่น เราก็เติบโตเท่าคนอื่น ดังนั้น ที่ผ่านมาเรามองการเป็นผู้นำใน Niche Market และสร้างบลูโอเชียน โดยเริ่มจากโมเดลธุรกิจใหม่ เสริมด้วยทำเล ดีไซน์แบรนด์ระดับโลก โปรแกรมการเช่า และบริการหลังการขาย เราจัดเต็มทุกมิติ ในระดับราคาที่คุ้มค่า” เดินเกมรุกมหานคร จากโอกาสทางธุรกิจที่ยังมีช่องว่างบริษัทขยายพื้นที่จากเมืองพัทยาสู่กรุงเทพฯ ตามแผนการดำเนินงานช่วงสิ้นปี 2560 ถึงช่วงครึ่งปีแรกของปี 2561 จำนวน 5 โครงการ ได้แก่ คอนโดมิเนียม Wyndham Atlas Wongamat Pattaya บริเวณหาดวงศ์อมาตย์ พัทยา มูลค่า 822 ล้านบาท โครงการบ้านในซอยร่วมฤดีแบรนด์ Leroy Ruamrudee มูลค่า 200 ล้านบาท และ คอนโดมิเนียม Creston โซนอโศก-พร้อมพงษ์ จำนวน 3 โครงการ มูลค่า 2.19 พันล้านบาท โดยรวมทั้ง 10 โครงการของบริษัทอยู่ที่ราว 6.05 พันล้านบาท สำหรับโครงการอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ จะแบ่งเป็นการซื้อเพื่ออยู่อาศัยและการลงทุนเพื่อปล่อยเช่าต่อ โดยบริษัทไม่ได้การันตีผลตอบแทนแต่ให้บริการจัดหาผู้เช่าสัญญาระยะยาวรายปี ขณะที่ชนินทร์ยังเล็งเห็นโอกาสขยายฐานผู้ซื้อต่างประเทศ นอกจากกลุ่มนักลงทุนไทยที่สามารถซื้ออสังหาริมทรัพย์ช่วยกระจายความเสี่ยง บริษัทยังสามารถเจาะตลาดชาวต่างชาติ ด้วยแผนการโรดโชว์เต็มรูปแบบในจีน สิงคโปร์ และฮ่องกง ซึ่งมีแนวโน้มความสนใจอสังหาริมทรัพย์ไทยมากขึ้นเนื่องจากราคาและผลตอบแทนที่น่าจูงใจ “เราวางแผนเข้าตลาดประมาณปี 2562-2563 เพื่อระดมทุนก้าวไปอีกขั้น ซึ่งเวลานั้นน่าจะเป็นช่วงที่เหมาะสมจากการเติบโตของยอดขายที่วางไว้สิ้นปี 1.3 พันล้านบาทและ 3 พันล้านบาทในปีหน้า โดยเติบโตเป็นเท่าตัวในปี 2562 อยู่ที่ 6 พันล้านบาทและจะกลายเป็นหมื่นล้านบาทได้ในปี 2563เพราะวันนี้เราเปิดตลาด CBD แค่ไม่กี่ซอยแต่ยังสามารถขยายไปรอบนอกได้ รวมถึงกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่เรากำลังรุกทำตลาด” เบื้องหลังการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของอสังหาริมทรัพย์หน้าใหม่ในสมรภูมิที่มีผู้เล่นยักษ์ใหญ่ครอบครองตลาดมาเป็นเวลานาน ชนินทร์กล่าวถึงหลักการบริหารที่เชื่อมั่นในความมุ่งมั่นฝึกฝนและสั่งสมประสบการณ์จนเกิดความชำนาญเฉพาะด้าน พร้อมทั้งการคิดนอกกรอบ และพยายามมองหาจังหวะหรือโอกาสเดินหน้าธุรกิจในตลาดบลูโอเชียน “กูรูด้านการตลาดเคยบอกว่า ถ้าเราเป็นเบอร์ 1 ในตลาด niche ได้ วันหนึ่งเราอาจจะเป็นยักษ์ใหญ่ในธุรกิจ เช่นเดียวกับบริษัทของเราที่เริ่มต้นจากผม ภรรยา และทีมงาน 2 คน แต่วันนี้เติบโตมีพนักงานเกือบ 100 คนเราเริ่มจัดระเบียบหลังบ้าน ทำงานกันแบบมืออาชีพและร่วมงานกับทีมระดับโลก แม้วันนี้เรายังเป็นบริษัทขนาดกลาง แต่วันหน้ามูลค่าโครงการของเราจะใหญ่ขึ้น เราต้องเติบโตมากกว่านี้”อ่านฉบับเต็ม "ชนินทร์ วานิชวงศ์ 'Habitat' บลูโอเชียนแห่งพัทยา" ได้ใน นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับ ธันวาคม 2560 ในรูปแบบ E-Magaizne