จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ ของคู่สามีภรรยาที่ดิ้นรนสู้ชีวิตหลังสิ้นเนื้อประดาตัวจากเหตุการณ์ไฟไหม้บ้านมาสู่แบรนด์เครื่องปรุงรสอาหารไทยที่สร้างชื่อกว่าครึ่งศตวรรษ
วันนี้ รัฐพงษ์ วัฒนาพร ทายาทรุ่น 3 วัย 39 ปี บริษัทอุตสาหกรรมพันท้ายนรสิงห์สินค้าพื้นเมือง จำกัด กำลังคร่ำเคร่งจัดทัพ “พันท้ายฯ” เข้าสู่การเป็นบริษัทมหาชนด้วยเป้ามาร์เก็ตแคป 2-3 หมื่นล้านบาทภายใน 2-3 ปีข้างหน้า ผลงานวิจัยหลายสำนักที่ระบุธุรกิจครอบครัวกว่า 95% ไม่สามารถอยู่รอดและส่งต่อผ่านไปถึงทายาทรุ่นที่ 4 เกือบจะเป็นเรื่องจริงในยุคของ รัฐพงษ์ วัฒนาพร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท อุตสาหกรรมพันท้ายนรสิงห์สินค้าพื้นเมือง จำกัด หากว่าพ่อของเขา สมเกียรติ วัฒนาพร ผู้นำธุรกิจในรุ่น 2 ของครอบครัวพันท้ายฯ ซึ่งประสบความสำเร็จในการสานต่อธุรกิจจากผู้ก่อตั้งรุ่นแรก ประสบความล้มเหลวในการ “ดัดนิสัย” ลูกชายคนเดียวของเขาให้พ้นจากการเป็น “เด็กเกเร” ที่เกือบจะเรียนไม่จบในระดับอุดมศึกษา สมเกียรติ วัฒนาพร จึงตัดสินใจส่งลูกชายหัวแก้วหัวแหวนไปฝึกงานกับลูกค้าที่ทำธุรกิจแวร์เฮ้าส์นำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้าจากเอเชียในสหรัฐฯ เพื่อให้ลิ้มชิมความลำบาก หลังพบว่ารัฐพงษ์เรียนมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญไปแล้ว 2 ปีโดยที่ยังไม่ได้เกรดแม้แต่วิชาเดียว “คุณพ่อเป็นคนฉลาดอีกคนหนึ่ง...มองการณ์ไกล แรกๆ ผมโกรธเขานะเพื่อนๆ ผมได้ไปเรียนต่ออังกฤษ อเมริกา ออสเตรเลีย แล้วทำไมเขาถึงส่งเราไปลำบาก” รัฐพงษ์ซึ่งปัจจุบันได้เข้ามาดูแลธุรกิจพันท้ายฯ อย่างเต็มตัวในฐานะรองกรรมการผู้จัดการ รับผิดชอบธุรกิจส่งออกที่ทำรายได้เกินครึ่งให้กับบริษัทกล่าวกับ Forbes Thailand รัฐพงษ์กล่าวครอบครัวพันท้ายฯ มีสายสัมพันธ์เป็นเวลายาวนานกับคู่ค้าในต่างแดนซึ่งปัจจุบันมีทั้งหมดประมาณ 300 รายใน 5 ตลาดหลัก ได้แก่ อเมริกา ยุโรป ออสเตรเลีย เอเชีย จีน ในจำนวนนี้ ประมาณ 80-90% เป็นชาวเอเชียที่อพยพไปตั้งถิ่นฐานในต่างประเทศ “จริงๆ (พันท้าย) เพิ่งกลับมาในประเทศ 10 กว่าปีนี้เอง” รัฐพงษ์กล่าวเปิดตำนาน “พันท้ายฯ” กว่าจะมาเป็นธุรกิจที่มียอดขาย2 พันกว่าล้านบาทต่อปี พันท้ายฯ เริ่มตำนานจากจุดเริ่มต้นเล็กๆ ของรุ่นปู่ เมื่อ “สมศักดิ์-สุรีย์” ที่ประสบโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ในชีวิตเมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ในโรงภาพยนตร์แห่งหนึ่งบริเวณใกล้กับตลาดท่าฉลอม จ.สมุทรสาคร ซึ่งพระเพลิงได้ลามมาไหม้ตลาดและบ้านเรือนในบริเวณนั้นรวมถึงบ้านของเขาจนหมดสิ้น ทำให้ต้องอพยพที่อยู่อาศัยเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยการทอดข้าวเกรียบขาย แต่หลังจากที่ขายดิบขายดีก็เริ่มโดนลอกเลียนแบบ ทั้งสองจึงคิดหาวิธีสร้างความแตกต่างโดยทำน้ำพริกเผาแถมมาให้ลูกค้าเพื่อให้ใช้จิ้มกินกับข้าวเกรียบ จนมาวันหนึ่งมีคนขอซื้อน้ำพริกนี้เพื่อไปคลุกกินกับข้าว สุรีย์จึงเกิดไอเดียในการนำเอาของที่เคยแจกฟรีๆ ไปบรรจุขวดขาย จากนั้นน้ำพริกตัวที่ 2 ถือกำเนิดตามมาติดๆ เมื่อสุรีย์ได้ฟังเรื่องเล่าจากคนข้างบ้านที่เพิ่งออกจากคุกว่ามีความยากลำบากต้องกินข้าวแดงคลุกกับ “น้ำพริกนรก” ซึ่งทำจากพริกทอดกับน้ำมันและมีรสเผ็ดมาก หลังจากนั้นสุรีย์ก็ได้คิดสร้างสรรค์น้ำพริกสูตรอื่นๆ อีกมากมาย เช่น น้ำพริกสวรรค์ น้ำพริกตาแดง น้ำพริกพญาโศก ฯลฯ แต่สินค้าก็ยังเป็นที่รู้จักในนามของ “น้ำพริกหน้าโรงบาล” จึงเกิดความคิดสร้างตราสินค้าโดยไปเอาหัวเรือสุพรรณหงส์มาขอจดเป็นชื่อยี่ห้อ แต่ไม่ผ่านเพราะมีผู้มาขอจดไว้ก่อนแล้ว จึงตัดสินใจใช้ชื่อ “พันท้ายนรสิงห์” จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ ของแบรนด์พันท้ายฯ ในปี 2505 ธุรกิจครอบครัวนี้ได้เติบโตขึ้นเป็นอุตสาหกรรมขนาดเล็ก ซึ่งมียอดขายประมาณปีละ 300 กว่าล้านบาทเท่านั้น จนกระทั่ง 15-16 ปีที่แล้วที่รัฐพงษ์ผู้เป็นทายาทรุ่นที่ 3 เข้ามามีส่วนร่วมบริหารงานร่วมกับคุณพ่อและคุณลุง (สมเกียรติและสุนทร) พันท้ายฯ จึงได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ผลิตขนาดกลางที่มียอดรายได้กว่า 2 พันล้านบาทที่มีกำไรและผลประกอบการมั่นคงและเติบโตอย่างต่อเนื่อง การเติบโตของพันท้ายฯ ผ่านการขยายตลาดในต่างแดนเพื่อกระจายความเสี่ยงและสร้างความมั่นคงให้กับบริษัท จากเดิมที่รายได้กระจุกตัวแค่อเมริกาและออสเตรเลียเพิ่มเป็น 5 เสาหลัก ได้แก่ อเมริกา ยุโรป ออสเตรเลีย เอเชีย และจีน รวมทั้งหันเข้ามาบุกตลาดในประเทศอย่างจริงจัง โดยสามารถเพิ่มยอดรายได้ในประเทศจากระดับ 40-50 ล้านบาท หรือเพียงประมาณ 30% ของยอดรายได้รวมเมื่อ 10 กว่าปีก่อน มาปิดยอดที่ 1.06 พันล้านบาทในปีที่ผ่านมาโดยที่ยังรักษาระดับส่วนต่างกำไรไว้ที่ 7-8% ปูทางสู่อนาคต เพราะเติบโตมากับเครือข่ายการจัดจำหน่ายแบบดั้งเดิม ทุกวันนี้รัฐพงษ์ยังคงมีความสุขกับการได้ไปพบปะกับลูกค้าตัวแทนจำหน่ายและผู้นำเข้าของพันท้ายฯ ด้วยตัวเองซึ่งมีอยู่ 300 แห่งทั่วโลก โดยแต่ละปีเขาจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือนเดินทางไปพบลูกค้าในต่างประเทศและอีก 6 เดือนอยู่ในไทย “วันนี้ผมน่าจะเป็นหนึ่งไม่กี่บริษัทที่รักษาส่วนขายของยี่ปั๊วซาปั๊วให้มากกว่า 60% หลายๆ ที่ส่งโมเดิร์นเทรดเพราะมันง่าย” รัฐพงษ์กล่าว ในส่วนของทิศทางการดำเนินธุรกิจในอนาคต รัฐพงษ์ตั้งเป้าเร่งการเติบโตของพันท้ายฯ ให้ยอดขายแตะหลัก 3 พันล้านบาทก่อนจะเข้าไประดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า “วันนี้ผมมองว่าเรามาถึงจุดที่ต้องวางแผนการเปลี่ยนผ่านไปสู่คนรุ่นต่อไปเผื่อวันหนึ่งลูกของเขาไม่อยากทำงาน เขาจะได้มีการถ่ายกิจการออกให้คนอื่นโดยราคาที่เป็นธรรม พันท้ายฯ วันนี้อาจแตกต่างจากบริษัทอื่นที่เข้ามหาชนเพื่อมาเรสฟันด์ผมเสกเงินเข้าที่นี่ได้ เราไม่ได้มีปัญหาเรื่องนี้” รัฐพงษ์กล่าว รัฐพงษ์คาดว่าจะคัดเลือกที่ปรึกษาทางการเงินภายในปีนี้ โดยคาดว่าบริษัทจะมีมูลค่ามาร์เก็ตแคปประมาณ 2-3 หมื่นล้านบาท บนสมมติฐานของการคาดหมายอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) 20-25 เท่า ในส่วนทิศทางธุรกิจนั้น รัฐพงษ์กล่าวว่าพันท้ายฯ จะยังโฟกัสที่ธุรกิจเครื่องปรุงรสอาหารที่บริษัทมีความชำนาญ อย่างไรก็ตาม บริษัทสนใจที่ขยายธุรกิจในแนวตั้ง (vertical integration) เช่น โลจิสติกส์ หรือการทำฟาร์มพริกออร์แกนิกที่มีระบบสมบูรณ์แบบและสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ ปัจจุบันพันท้ายฯ มีสินค้าทำตลาดในประเทศ 17 ชนิด แต่น้ำจิ้มสุกี้โปรดักส์เดียวทำรายได้ถึงปีละ 850 ล้านบาท หรือประมาณ 85% ของยอดขายในประเทศทั้งหมด รัฐพงษ์ตั้งเป้าหมายเพิ่ม “สินค้าเรือธง” พันท้ายฯ จาก 4 ชนิดในปัจจุบัน (น้ำจิ้มไก่น้ำพริกเผา สุกี้ น้ำจิ้มปอเปี๊ยะ) เป็น 7 ชนิดในอนาคตเพื่อเสริมความแข็งแกร่งอย่างยั่งยืนให้กับบริษัทซึ่งจะยังคงยึดมั่นในคุณค่าขององค์กรที่ยึดถือมาตลอดคือ “ความซื่อสัตย์” “เราซื่อสัตย์ต่อผู้บริโภค สินค้าเรา 50 กว่าปีไม่เคยเปลี่ยนสูตรเลย เราเชื่อว่าเราทำของดีหลายๆ บริษัทจะ...ไม่กล้ากินของตัวเองเพราะเห็นว่าทำไม่สะอาด แต่ที่นี่ไม่ใช่ เรากินได้ทุกอย่าง คุณย่าผมสอนเสมอเรา (ต้อง) ทำอะไรที่เรากิน (ได้)” ผู้นำธุรกิจรุ่นที่ 3 ของพันท้ายฯ กล่าวในที่สุด ภาพ: กิตติเดช เจริญพร และ บจ.อุตสาหกรรมพันท้ายนรสิงห์สินค้าพื้นเมืองคลิกอ่านเรื่องราวฉบับเต็มของ "ก้าวที่กล้าของพันท้ายฯ" ได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ กรกฎาคม 2561 ในรูปแบบ e-Magazine