ปรีดิกรี บูรณุปกรณ์ ลูกไม้ใต้ต้น “อรสิริน” - Forbes Thailand

ปรีดิกรี บูรณุปกรณ์ ลูกไม้ใต้ต้น “อรสิริน”

FORBES THAILAND / ADMIN
13 Aug 2023 | 11:00 AM
READ 6151

จากคุณหนูโรงเรียนูมงฟอร์ตวิทยาลัย โตมาในสังคมคหบดีเมืองเชียงใหม่ วันนี้เติบใหญ่ก้าวสู่ตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทโฮลดิ้งบ้านบูรณุปกรณ์ เจ้าของอาณาจักรโรงแรมและอสังหาฯ เชียงใหม่ คนหนุ่มรุ่นใหมที่บุคลิกค่อนข้างเงียบขรึม พูดไม่ค่อยเก่ง แต่เมื่อได้คุยแล้วจึงรู้ว่านักธุรกิจหนุ่มทายาทพ่อเลี้ยงบุญเลิศบูรณุปกรณ์ เป็นลูกไม้ที่หล่นไม่ไกลต้นจริงๆ ภายใต้บุคลิกนิ่งๆ แต่ยิ้มง่ายของเขาแฝงไปด้วยวิธีคิดและมุมมองที่ไม่ต่างจากบิดา เพียงแต่ความเจนเวทีในการแสดงออกต่างกัน อาจด้วยวัยที่ยังไม่มากนักทำให้ ปรีดิกร บูรณุปกรณ์ ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อรสิริน โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ดูเหมือนพูดน้อยและไม่คล่องแคล่วเท่าบิดา แต่ทว่าเขาซึมซับวิธีคิดและการทำธุรกิจหลายอย่างทำให้บิดาภูมิใจในตัวเขาไม่น้อย

     

อสังหาฯ-โรงแรม

    

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตัดสินใจในฐานะผู้บริหารท่ามกลางวิกฤตล่าสุดช่วงสถานการณ์โควิดเมื่อ 2 ปีก่อน ปรีดิกรรับผิดชอบบริหารโรงแรมรติล้านนา ริเวอร์ไซด์ สปา รีสอร์ท เชียงใหม่ ดูแลพนักงานกว่า 100 คน เขาตัดสินใจไม่เลิกจ้างเก็บพนักงานทั้งหมดเอาไว้โดยลดค่าจ้างเพียงเล็กน้อย มีส่วนทำาให้เมื่อสถานการณ์คลี่คลายโรงแรมสามารถกลับมาบริการได้ดีดังเดิม เป็นการตัดสินใจที่บิดาเขาบอกว่าคาดไม่ถึงว่าจะผ่านมาได้อย่างราบรื่นเหตุการณ์นี้เป็นบทพิสูจน์วุฒิภาวะในการเป็นผู้บริหารองค์กรของปรีดิกรได้เป็นอย่างดี เขาได้รับความไว้วางใจจากบิดามากขึ้น 

    ที่จริงเขาผ่านบทเรียนการบริหารธุรกิจมาหลายอย่างที่สองพ่อลูกบอกเล่ากับทีมงาน Forbes Thailand ภายในเวลาเกือบ 2 ชั่วโมงที่นั่งพูดคุยอย่างเป็นกันเองหลังจากวันแถลงข่าวเตรียมความพร้อมนำกิจการอรสิริน โฮลดิ้ง เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ราวต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา แผนนำากิจการเข้าตลาดฯ ของอรสิรินเน้นไปที่ธุรกิจอสังหาฯ ซึ่งทางกลุ่มพัฒนามายาวนานหลายโครงการ ถ้านับจำนวนมากกว่าธุรกิจโรงแรม แต่หากถามถึงตัวตนและจุดเด่นที่ชัดเจนของพ่อเลี้ยง บุญเลิศในฐานะประธานกรรมการอรสิรินเขาเป็นนักลงทุนที่ดินและเป็นเจ้าของธุรกิจโรงแรมระดับ 4-5 ดาวหลายแห่งในภาคเหนือ และ 2 แห่งในภาคใต้ 

    ธุรกิจโรงแรมต่อยอดมาจากการลงทุนอสังหาฯ ซึ่งก็คือที่ดินซึ่งพ่อเลี้ยงบุญเลิศเผยว่าเขามีพอร์ตที่ดินถือในมือหลายพันไร่อาจถึงหมื่นไร่หากนับรวมทั้งหมด แต่นั่นมีทั้งที่ดินซื้อเก็บลงทุนระยะยาวและที่ดินนำไปพัฒนาโครงการอสังหาฯ ต่อเนื่องจนกระทั่งมีความพร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ปีนี้ หลังจากปี 2565 บริษัทได้พัฒนาอสังหาฯ ไปทั้งสิ้น 18 โครงการ มูลค่ากว่า 15,505 ล้านบาท มีทั้งแนวราบ 11 โครงการ และแนวสูง 7 โครงการ 

    นอกจากนี้ ในปี 2566 อรสิรินยังมีแผนจะเปิดโครงการอสังหาฯ ใหม่อีก 6 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 3,225 ล้านบาท เรียกว่าเป็นผู้ประกอบการระดับกลางก็ว่าได้ มีแผนงานและเป้าหมายการเติบโตไม่ต่างจากบริษัทอสังหาฯ ในตลาดหลักทรัพย์รายอื่นๆ ครอบคลุมตลาดทุกกลุ่มตั้งแต่ระดับแมส กลาง ไปจนถึงไฮลักชัวรี่ ด้วยแบรนด์ที่ชัดเจน The Escape, Habitat, Belive, Ornsirin, Ornsirin Ville, Urban Myx, The Astra, Arise และ The Next 

    “บริษัทตั้งเป้าหมายก้าวสู่การเป็นผู้นำอสังหาฯ ระดับกลาง-บนของภาคเหนือภายใน 3 ปี” ผู้บริหารอรสิรินประกาศแผนชัดเจนในวันแถลงข่าว และดูเหมือนนโยบายนี้ได้ผ่านการเตรียมการมาเป็นอย่างดี เป็นตัวเลขเป้าหมายที่มีโครงการและแผนงานรองรับชัดเจน จากความชอบกลายมาเป็นธุรกิจ ขยายเติบโตถึงขั้นนำเข้าตลาดหลักทรัพย์ในปัจจุบัน 

    “ผมซื้อที่ดินตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยที่ มช. เป็นคนชอบสะสมที่ดิน ครอบครัวซื้อที่ดินอยู่แล้วเป็นกงสี ตอนนั้นคุณพ่อเป็นคนซื้อ แบงก์ (ปรีดิกร) ถือเป็นเจนที่ 3 แล้ว ถ้านับคุณพ่อผมด้วย” พ่อเลี้ยงบุญเลิศย้อนอดีตวัยเริ่มสนใจที่ดินให้ฟัง จากรุ่นบุกเบิกบิดาเขาทำธุรกิจส่งออกเฟอร์นิเจอร์ไม้ไปตลาดญี่ปุ่น 

    จากธุรกิจแรกบุญเลิศมองโอกาสธุรกิจใหม่ขยายมาทำโรงแรมเพราะอยากมีรายได้จากนักท่องเที่ยว เปิดโรงแรมแรกขนาด 80 ห้อง เขาเล่าว่า มีโรงแรมที่เชียงใหม่ 4 แห่ง และที่ภาคใต้อีก 2 แห่ง เคยใช้เชนอินเตอร์บริหารอยู่ 4-5 ปีแต่ไม่เวิร์กจึงหันมาบริหารเองทั้งหมด 

    “รติล้านนาเปิดมา 12 ปีแล้ว น้องแบงก์ชอบโรงแรม เขาก็ทำได้ดี และในช่วงโควิดเราปรับปรุงโรงแรมตลอดเวลา” เจ้าของอรสิรินผู้พ่อบอกเล่าอย่างเรียบง่าย ขณะที่บุตรชายก็คอยเสริมอยู่ข้างๆ “ผมเลือกเรียนให้จบบริหารการโรงแรมมาโดยเฉพาะ ตอนแรกเรียนอีกสายหนึ่ง พ่อจะให้มาเป็นผู้จัดการโรงแรมผมก็เลยเปลี่ยนมาเรียนการโรงแรมที่มหาวิทยาลัยพายัพ” ปรีดิกรเล่าช้าๆ แต่แววตาเขาดูตื่นเต้นและมีพลังเมื่อพูดถึงธุรกิจที่ตัวเองชอบและตั้งใจเข้ามารับช่วงต่อ 

    ปรีดิกรดูมีความสุขเมื่อพูดถึงการทำงาน เขาบอกว่า ทุกวันนี้เขาให้เวลากับการทำงานเกือบตลอดแทบไม่มีวันหยุด ไม่คิดจะไปเที่ยวเตร่เหมือนคนวัย 30 ด้วยกัน แต่กลับสนุกและมุ่งมั่นกับการทำงานมากกว่า “บางทีเสาร์-อาทิตย์ผมก็ขับรถมาโรงแรมมาเตรียมงานสำาหรับสัปดาห์ถัดไป เพราะรู้สึกว่าสนุกและอยากทำ” ความใส่ใจและทุ่มให้กับงานของบุตรชายทำให้พ่อเลี้ยงบุญเลิศ นักธุรกิจหนุ่มใหญ่วัย 67 ปี มีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะตลอดเวลาของการพูดคุยในบรรยากาศสบายๆ ที่โถงล็อบบี้แบบเปิดของโรงแรมรติล้านนา ที่ซึ่งบุตรชายของเขาพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า “เอาอยู่” แม้เผชิญวิกฤตโควิด 2 ปีที่ผ่านมา 

    “ที่โรงแรมจะว่าไปผมไม่ได้เพิ่งเริ่มทำ ผมทำตั้งแต่ยังเรียนอยู่ด้วนซ้ำไป” ปรีดิกรเล่าอย่างภูมิใจ สำหรับเขาแล้วโรงแรมแห่งนี้เหมือนมรดกทางธุรกิจที่บิดาเปิดโอกาสให้เขาได้เรียนรู้ฝึกฝนตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษาเขาจึงผูกพัน คุ้นเคย และภูมิใจกับมันไม่น้อยจากน้ำเสียงที่บอกเล่าแต่ละช่วงตอน

    

รถยนต์เงินซิ่งได้

    

     ระหว่างพูดคุยพ่อเลี้ยงบุญเลิศไม่ลืมที่จะเล่าที่มาของชื่ออรสิรินว่ามาจากชื่อของบุตรสาวที่อยู่ต่างประเทศ เดิมทีเขาก็มุ่งหวังจะให้บุตรสาวมาช่วยงาน แต่เมื่อมีบุตรชายและหลานชายอีกคนมาช่วยก็ทำให้งานเดินหน้าได้ดี แต่เขาก็ยังคงใช้ชื่ออรสิรินไว้ดังเดิม “ลูกสาวเขาไปๆ มาๆ เขาเห็นมีคนสืบทอดแล้วก็สบายใจ แต่จริงๆ ธุรกิจในเครือมีหลายอย่าง” พ่อเลี้ยงเกริ่นนำก่อนจะเผยว่า เขามีอีกธุรกิจที่มีแนวโน้มไปได้ดีไม่แพ้โรงแรมและอสังหาฯ นั่นคือธุรกิจสินเชื่อรถยนต์ 

    “ธุรกิจในเครือมีหลายอย่าง ยังทำอยู่ทุกอย่าง ทั้งเฟอร์นิเจอร์ส่งออก โรงแรม อสังหาฯ และล่าสุดลิสซิ่งเพิ่งเปิดมาได้ปีกว่ารถยนต์เงินซิ่งได้ ได้ license ครอบคลุม 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน” พ่อเลี้ยงเล่าอีก ธุรกิจน้องใหม่ที่มาแรง เปิดมาได้ปีเศษมีพอร์ตสินเชื่อแล้วกว่า 1 พันล้านบาท แต่อันนี้อยู่นอกโฮลดิ้ง และหากพอร์ตใหญ่กว่านี้จะดึงเข้ามาในโฮลดิ้งถือหุ้นไขว้กันเล็กๆน้อยๆ และก็อาจพิจารณาเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ด้วยเช่นกัน อาจให้ลูกหลานมาช่วยทำ เขาบอกว่า มีพี่น้องทั้งสิ้น 11 คนในเครือญาติทั้งหมดถือหุ้นไขว้กันไปมา 

    “ตอนนี้เหลือ 9 คน ก็ไขว้กันหมด ถือหุ้นโรงแรมกระบี่ไขว้กันไป ส่วนในโฮลดิ้งเป็นเฉพาะอสังหาริมทรัพย์ล้วนๆ เลย โรงแรมนี้ก็ไม่อยู่” เขาแจกแจงทรัพย์สินอย่างคร่าวๆ และว่า เป้าหมายนั้นเตรียมตัวในการที่จะขยายธุรกิจ และเตรียมหากสามารถทำผลกำไรได้ดีก็จะขยายและดึงเข้ามาในโฮลดิ้ง 

    พอย้อนกลับมาที่ปรีดิกรเขาบอกว่า “คุณแบงก์รับ 2 ตำแหน่งเลยครับ เป็น MD โรงแรมด้วย” พูดแล้วก็หัวเราะชอบใจก่อนจะเล่าต่อไปว่า ทีแรกไม่ทราบว่าจะมอบหมายให้เป็นเอ็มดีโรงแรมไหน เขาก็ไปๆ มาๆ ดูงานโรงแรมตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ พอได้ทราบว่าบิดามอบหมายให้ดูแลที่รติล้านนา เขาบอก “เหมือนโดนภูเขาทับเลยครับ จู่ๆ ต้องมาดูแลทีมงาน 100 กว่าคน จากปกติใช้ชีวิตวัยรุ่น เปลี่ยนเลยชีวิตวัยรุ่นหายหมดเลยตั้งใจทำงานเต็มที่” 

    เขาบอกว่า ทั้งหนักใจแต่ก็ดีใจที่ได้มาบริหารโรงแรมซึ่งธุรกิจนี้ไม่ใช่ไซซ์เล็ก มีโอกาสได้เข้ามาดูก่อนโควิด “ผมพยายามเรียนรู้ learning by doing แต่ถ้าเป็นเรื่องใหญ่ก็ปรึกษาคุณพ่อ ปรึกษาคุณพ่อว่าเรื่องนี้เรื่องนั้นจะทำอย่างไร แต่ส่วนใหญ่ท่านก็ให้อิสระในการตัดสินใจ” ปรีดิกรเล่าจุดเริ่มต้นในฐานะเอ็มดีโรงแรมระดับ 5 ดาว ภารกิจแรกที่รับมาทำเต็มตัวแถมจังหวะท้าทายเผชิญช่วงโควิด-19 พอดิบพอดี 

    

บทเรียนโควิด ชีวิต-งาน

    

     “โควิดช่วงแรกตอนนั้นจำได้พนักงานร้องไห้จะทำอย่างไรต่อกับชีวิต ผมประชุมพนักงานทุกคนประกาศไม่ไล่ออก ไม่ดำเนินการใดๆ ทั้งสิ้น” แต่ยอมรับว่าก็มีช่วงที่โรงแรมต้องปิด พนักงานยังอยู่ร่วมต่อสู้ไปด้วยกัน “พอหลังประชุมทุกคนมากอดขอบคุณที่ไม่ทิ้งพวกเขา” เป็นบทเรียนแห่งชีวิตที่เขาสัมผัสได้ถึงความเป็นเจ้าของและความเป็นทีมงานกับคำว่าครอบครัว
เดียวกัน 

    ปรีดิกรบอกว่า ทำงานโรงแรมธุรกิจคือชีวิต “ต้องเรียนว่าตั้งใจมากตอนนั้นโรงแรมร้างก็มองว่าเป็นโอกาสในการปรับปรุงรีโนเวตเลย” พ่อเลี้ยงออกตัวว่าเห็นด้วยกับบุตรชายทุกอย่างในการตัดสินใจและโชคดีที่ทางกลุ่มมีธุรกิจหลากหลายทำให้ยังสามารถยืนอยู่ได้ เล่าไปก็ย้อนกลับมาที่บุตรชาย เขาบอกเล่าด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าว่า “ผมชื่นชมลูกแบงก์ที่เดินเข้ามาพูดกับผมว่า ป๊าเราเลี้ยงเขาไว้ดีกว่านะเพราะว่าเขาช่วยเรามาเยอะ แล้วเวลาเขาลำบากเราช่วยเขาได้เราก็ควรช่วยนะ จ่ายค่าจ้าง 70%” นั่นคือความคิดของบุตรชาย จีเอ็มโรงแรมวัยยังไม่ถึง 30 เขามองเรื่อง การให้โอกาสคน การตอบแทนบุญคุณคน 

    จากการหารือนั้นก็ทำให้พนักงานโรงแรมยังอยู่เกือบครบ มีบ้างบางคนออกไปทำอย่างอื่นแต่ไม่มากนัก ส่วนคนที่อยู่ก็จัดให้ทำงานดูแลรักษาโรงแรมไปตามสภาพ “ให้มี activity ไม่ต้องคิดมากกวาดพื้น ถูพื้น เช็ดพื้น ไม่มีแขกก็ไม่เป็นไร เดี๋ยววันหนึ่งก็กลับมา แล้วก็กลับมาจริงเราแข่งทุกคนได้เลย” 

    ช่วงที่มีการปิดโรงแรมนั้นน่าจะเป็นปี 2563-2564 จากนั้นก็เริ่มกลับมาแล้วไทยเที่ยวไทยมาก่อน “ตอนนี้ผมก็ดีใจนะคิดว่าตัวเองตัดสินใจถูก ตอนนั้นถ้าโรงแรมกลับมาแล้วพนักงานกลับบ้านไป โอกาสกลับมาน่าจะยาก แต่เราไม่ทิ้งพวกเขา เราดูแลเข่า เขาก็ทำอย่างเต็มที่” ปรีดิกรบอกว่า พนักงานโรงแรมมีหลายคนมากที่อยู่มาตั้งแต่วันแรกที่เปิดโรงแรมเมื่อปี 2549 อยู่มาเกิน 11 ปีแล้วตั้งแต่ยุคแรก และทางกลุ่มก็สามารถจัดการให้ทั้ง 4 โรงแรมผ่านช่วงโควิดมาได้ 

    ถ้าถามว่า มีพนักงานเท่าไร นับโรงแรม 4 แห่งในเชียงใหม่ และอีก 2 แห่งที่กระบี่ รวมแล้วน่าจะประมาณ 1,000 คน บริหารเองเป็นหลัก ส่วนแขกในเวลานี้เป็นต่างชาติมาเยอะ ในเชียงใหม่มีกลุ่มคนหนุ่มสาวทำงานยุคใหม่ “ดิจิทัลโนแมด”มาพักพอสมควร เช่าห้องพักยาวๆ เที่ยวไปด้วยทำงานไปด้วย มีเครื่องคอมพกพามา 1 ตัวก็ทำงานไปเที่ยวไป พอว่างก็ไปเที่ยวเป็นไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ บางคนก็มาเช่าคอนโดฯ อยู่เลย มีคนมาซื้อคอนโดฯ 10 ห้องไปทำเป็น Airbnb เพื่อรองรับคนพวกนี้ ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยว พวกเขาทำงานแค่ 2 ชั่วโมงต่อวัน ที่เหลือก็ไปใช้ชีวิตได้แล้ว มีมาจากหลายชาติ 

    “ผม 2 คนนี่แทบจะเป็นคนคนเดียวกันได้เลย ในเรื่องวิธีคิดและการตัดสินใจเรามีหลักคิดหนึ่งเหมือนกันคือ give ก่อนแล้วค่อย take” พ่อเลี้ยงบอกว่า เขาไม่เชิงปลูกฝัง แต่บุตรชายเห็นเขาทำเป็นแบบอย่างก็ดำเนินรอยตาม และแนวคิดที่ว่านี้ เขาไม่ได้ใช้กับการทำอย่างใดอย่างหนึ่ง เขาใช้กับทุกอย่างที่ทำา เช่น ทำบ้านจัดสรรก็ให้อย่างเต็มที่ ให้ของดีที่สุดเป็นพื้นฐานก่อนจากนั้นสิ่งต่างๆ ก็จะตอบสนองกลับมาเอง เช่น บ้านจัดสรรถนนทางเข้าของเขาใหญ่กว่าหมู่บ้านทั่วไป ทุกอย่างทำให้กับลูกบ้าน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามาอยู่แล้วได้สิ่งที่เหนือความคาดหมาย คอนโดฯ ก็เช่นกัน ให้มากกว่าคนอื่น 

    อรสิรินใช้วิธีให้สินค้าขายตัวเองด้วยการสร้างโครงการคุณภาพดีเหนือความคาดหมาย ทำให้ลูกค้าประทับใจ จากนั้นลูกค้าจะเป็นกระบอกเสียงช่วยในการขายอีกทาง “พนักงานที่เก่งที่สุดก็คือ ลูกบ้านของเราพนักงานขายเป็นคนของบริษัท แต่ถ้าเป็นลูกค้ารีวิวคนจะเชื่อมั่นกว่า และลูกค้าสมัยนี้ชอบรีวิว” บุญเลิศย้ำและว่า ด้วยกลยุทธ์นี้เขาได้ลูกค้าบอกต่อมากถึง 40% เป็นอัตรา เฉลี่ยของอสังหาฯ ที่อรสิรินทำามากว่า 10 ปี มูลค่าที่พัฒนาไปแล้วไม่น้อยกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท ทำมาแล้วเกือบ 30 โครงการปัจจุบันอยู่ระหว่างพัฒนาขายต่อเนื่อง 18โครงการ 

    นอกจากอสังหาฯ พ่อเลี้ยงบุญเลิศบอกว่า “เรามีธุรกิจโรงงานเฟอร์นิเจอร์มีต้นสักเชียงใหม่ เชียงราย สุดารักษ์ส่งเฟอร์นิเจอร์ไม้ ที่โรงแรมแห่งนี้จึงเน้นไม้สวยทั้งไม้สักไม้ประดู่ ทำด้วยใจฟังก์ชันเหมือนบ้านให้ความรู้สึกอบอุ่น” เขาโยงธุรกิจที่ทำกับธุรกิจที่ขยายเข้าไว้ด้วยกันได้ดี ส่วนอสังหาฯ เขาบอกว่า สร้างบ้านส่งมอบไปแล้วกว่า 4,000 หลัง และยังมีที่สร้างอยู่ในมืออีกกว่า 5,000 หลัง มีการพัฒนามีนวัตกรรมใหม่ๆ ขึ้นมา เพิ่มความเป็นเวลเนสเซ็นเตอร์ ทำผ่านแอปพลิเคชันหมู่บ้านอรสิรินเฮลท์ฮับ เปิดให้คนมาเช็กร่างกายได้ เริ่ม 2 โครงการก่อนค่อยขยายเพิ่มไปเรื่อยๆ เป็นการตอบแทนลูกค้า เจ็บไข้เล็กน้อยไม่ต้องไปโรงพยาบาลมาตรวจได้เหมือนคลินิก มีค่าใช้จ่ายตามจริงก่อนจบการสนทนาวันนั้นกับ 2 พ่อลูกนักธุรกิจ ต่างคนแลกเปลี่ยนมุมมองและความฝัน ปรีดิกรในวัย 30 เขายังเป็นคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งละทิ้งความฝันที่อยากจะเป็นนักเทนนิสระดับอาชีพ เดินตามรอยบิดามาดูแลธุรกิจ เขาบอกว่า เล่าแล้วเฮิร์ตเหมือนกัน เพราะฝันการเป็นนักกีฬาของเขามันค่อนข้างเด่นชัด แต่วันหนึ่งเมื่อบิดาบอกกับเขาว่า “ป๊าเป็นเพียง messenger ทำทุกอย่างเพื่อส่งมอบให้ลูกทำต่อ ทุกอย่างที่ทำเพื่อให้ลูกได้มีกิจการในวันข้างหน้า”

    คำกล่าวนี้เปลี่ยนความฝันเด็กหนุ่มคนหนึ่งให้หันกลับมามองครอบครัว และตัดสินใจว่าจะรับช่วงช่วยครอบครัวทำธุรกิจ แม้จะละทิ้งความฝันไป แต่วันนี้เขามีรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสานฝันของบิดา ในการสืบทอดกิจการได้อย่างราบรื่น สร้างรอยยิ้มในครอบครัวได้อย่างพร้อมเพรียง

    

    อ่านเพิ่มเติม : Athletic Brewing เบียร์ไร้แอลกอฮอล์ที่ถูกใจนักดื่ม

    คลิกอ่านฉบับเต็มและบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกรกฎาคม 2566 ในรูปแบบ e-magazine