วิกฤตการณ์ “โควิด-19” ที่เชื้อไวรัสได้กระจายไปอย่างรวดเร็วทั่วโลก และกำลังสร้างความเสียหายให้สังคมและธุรกิจทั่วโลกเป็นอย่างมาก เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับวิกฤตด้านการเงิน ปี 2008 (วิกฤตซับไพร์ม) ที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ หากการระบาดไม่หมดไปหรือมีการค้นพบวัคซีนได้สำเร็จได้แล้วนั้น อาจสร้างบาดแผลลึกในกับเศรษฐกิจโลกในทุกภาคส่วน
วิกฤตเศรษฐกิจที่โลกต้องเผชิญ
วันพุธที่ 11 มีนาคมที่ผ่านมาถือเป็นจุดสิ้นสุดของตลาดขาขึ้นหรือ ‘Bull market’ ในสหรัฐอเมริกาที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องยาวนานที่สุดเป็นประวัติการณ์ คือกินเวลากว่า 11 ปีนับตั้งแต่จุดต่ำสุดในช่วงวิกฤตซับไพร์มในปี 2008
เดือนมีนาคม 2009 ตลาดดาวโจนส์ของสหรัฐอเมริกาได้เข้าสู่ภาวะขาลงหรือ Bear market อย่างเป็นทางการ หลังจากที่ปรับตัวลดลงเกิน 20% จากจุดสูงสุด นับเป็นการเข้าสู่ Bear market ที่รวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ คือ ใช้เวลาเพียง 21 วันเท่านั้น
นักวิเคราะห์จากหลากหลายสำนักวิจัยชั้นนำของโลก ทำนายว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19 และมาตรการในการควบคุมจะทำให้เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาเข้าสู่
‘ภาวะถดถอย’ ในปีนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นั่นคือ ภาวะที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจลดลงอย่างกว้างขวางและต่อเนื่องหลายเดือน จนกระทบต่อการค้า การผลิต รายได้ และการจ้างงาน ในทางเทคนิคคือเราจะเห็น GDP หดตัวติดต่อกันอย่างน้อย 2 ไตรมาส
วิกฤต 2008 vs. 2020
การปรับตัวของตลาดการเงินและราคาสินทรัพย์ในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีความคล้ายคลึงอย่างมากกับช่วงที่เศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่ภาวะวิกฤตการเงินปี 2008 ที่เริ่มขึ้นในสหรัฐอเมริกา (Global Financial Crisis) ไม่ว่าจะเป็นการปรับแย่ลงอย่างรวดเร็วของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ราคาน้ำมัน และดัชนี VIX ที่มักใช้ในการวัดระดับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในตลาดการเงินโลก
Christine Lagarde ประธานธนาคารกลางยุโรปออกมาเตือนว่า หากนโยบายเศรษฐกิจยังไม่มีการเตรียมการรับมือกับผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการเงินที่จะเกิดขึ้นอย่างดีพอ เราอาจจะเจอกับวิกฤตทางการเงินในลักษณะเดียวกันกับที่เคยเจอในปี 2008 ก็เป็นได้ ทว่า หากพิจารณาบริบทเศรษฐกิจและการเงินแล้ว พบว่าวิกฤตระดับโลกทั้งสองเหตุการณ์นี้มีความแตกต่างอย่างมาก ในหลายมิติ ดังนี้
ประการแรก
"วิกฤต 2008" เริ่มจากภาคการเงินก่อนจะลามไปภาคเศรษฐกิจจริง แต่วิกฤต โควิด-19 ปี 2020 เริ่มจากภาคเศรษฐกิจจริงและอาจลามไปเป็นความเสี่ยงในภาคการเงิน สาเหตุของวิกฤตการเงินโลกปี 2008 เกิดจากภาวะฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯ เกิดการลุกลามของปัญหา สุดท้ายแล้วทำให้สถาบันการเงินทั่วโลกล้มครืนไปด้วยจากความเชื่อมโยงระหว่างสถาบันการเงินในประเทศต่าง ๆ กับสถาบันการเงินในสหรัฐฯ
ในทางกลับกัน สถานการณ์ที่หลายประเทศกำลังประสบอยู่ในขณะนี้เริ่มต้นจากผลกระทบของโควิด-19 ต่อเศรษฐกิจที่ทำให้ภาคธุรกิจต้องหยุดชะงักลง ส่งผลกระทบต่อรายได้ของภาคธุรกิจ ท้ายที่สุดสร้างความเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดวิกฤตทางการเงินตามมาด้วย
ประการที่สอง
ปี 2008 ปัญหาการก่อหนี้ในภาคการเงินและครัวเรือน vs. ปี 2020 ปัญหาหนี้สูงในภาคธุรกิจ และหนี้ภาครัฐ วิกฤตซับไพร์มที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาเกิดจากการก่อหนี้ในระดับสูงและรวดเร็วของภาคครัวเรือน ซึ่งส่วนใหญ่คือหนี้บ้าน ภาคการเงินเองโดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ก็มีการกู้เพื่อมาลงทุน (leverage) สูงเช่นกัน
แต่ปัจจุบันสถานการณ์กลับตาลปัตร คือ ภาคครัวเรือนและภาคการเงินมีระดับหนี้ลดลงมากส่วนหนึ่งจากกฎเกณฑ์การให้สินเชื่อที่มีความเข้มงวดขึ้น ธนาคารทั่วโลกโดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกามีความแข็งแกร่งทางการเงินเพิ่มขึ้นจากนโยบายกำกับดูแลที่เข้มงวดหลังวิกฤต ในขณะที่ภาคธุรกิจอื่นๆ ที่ไม่ใช่การเงินกลับมีการก่อหนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อีกประการหนึ่งที่วิกฤตครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อน คือ หนี้ที่ภาคธุรกิจที่เพิ่มสูงขึ้นในระยะหลังส่วนใหญ่มาจากการระดมทุนทางตรงของภาคธุรกิจผ่านตราสารหนี้ภาคเอกชนซึ่งเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ตราสารหนี้จำนวนมากเป็นตราสารหนี้ด้อยคุณภาพ (non-investment grade) และตราสารหนี้ในระดับ BBB ซึ่งถือเป็นชั้นต่ำสุดของ investment grade
สิ่งที่จะต้องจับตามองต่อไปคือ หากสถานะการเงินและความสามารถในการชำระหนี้ของธุรกิจเหล่านี้ลดลงอาจมีความเสี่ยงให้ตราสารหนี้เหล่านี้ถูกลดอันดับชั้นเครดิต (downgrade) อาจทำให้นักลงทุนไม่มั่นใจในการลงทุน หากเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ขึ้นในวงกว้างอาจจะก่อให้เกิดการแห่ขายตราสารหนี้เหล่านี้ สร้างความเสี่ยงต่อการวิกฤตการเงินครั้งใหม่ที่จะทำให้เศรษฐกิจโลกตกต่ำลงไปมากกว่าจากแค่ผลกระทบจากโควิด-19 ได้ เช่นเดียวกับภาคธุรกิจของไทยที่ในระยะหลังหันมาระดมทุนผ่านการออกหุ้นกู้มากขึ้นจากระดับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าการกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์
ประการที่สาม
โควิด-19ไม่สามารถรักษาได้ด้วยนโยบายการเงิน วิกฤตเศรษฐกิจในครั้งนี้มีต้นตอมาจากการแพร่ระบาดของโรคติดต่อที่สร้างปัญหาด้านสาธารณสุขและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แตกต่างจากวิกฤต 2008 หรือ 1997 ที่มีรากเหง้ามาจากปัญหาในภาคการเงินเป็นหลัก
บทบาทของนโยบายการเงินในการรับมือกับวิกฤตในครั้งนี้จึงจำกัดอยู่แค่เพียงการดูแลสภาพคล่องและประคับประคองไม่ให้ผลกระทบต่อภาคธุรกิจลุกลามจนเกิดเป็นวิกฤตในระบบการเงินในวงกว้างเท่านั้น แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาที่สาเหตุได้ ไม่ว่านโยบายการเงินและมาตรการช่วยเหลือทางการคลังจะใช้เงินอัดฉีดจำนวนมากแค่ไหน ก็ทำได้แค่เพียงยืดเวลาเพื่อให้ธุรกิจและระบบการเงินสามารถอยู่รอดได้จนการระบาดของโควิด-19 หมดไปหรือมีการค้นพบวัคซีนได้สำเร็จ และกิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาเป็นปกติ
ประการสุดท้าย
โควิด-19 นำความหายนะมาสู่ทุกประเทศทั่วโลกพร้อมๆ กัน ต่างจากทั้งปี 2008 ที่เป็นวิกฤตของซีกโลกพัฒนาแล้ว หรือช่วงต้นทศวรรษ 1980 และปี 1997 ที่เป็นวิกฤตของประเทศตลาดเกิดใหม่ จนถึงวันนี้การแพร่ระบาดลุกลามไปถึงกว่า 180 ประเทศทั่วโลก และประชากรโลกราว 2.2 พันล้านคน (25% ของประชากรโลก) ตกอยู่ภายใต้ภาวะ ‘ปิดเมือง’ (lockdown) ในอย่างน้อย 23 ประเทศ
ที่สำคัญคือ ปรากฏการณ์นี้ถือเป็นครั้งแรกของโลกที่ประสบกับวิกฤตชนิดที่ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจในแทบทุกช่องทางอย่างไม่มีทางหลบเลี่ยงได้ ความหวั่นวิตกต่อโรคระบาด รวมทั้งมาตรการของทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อรับมือและทำสงครามกับโรคร้ายนี้ ส่งผลกระทบต่อทั้งด้านการผลิต การใช้จ่ายของครัวเรือนและการลงทุนภาคเอกชนจากทั้งภายนอกและภายประเทศ รายได้ของธุรกิจและแรงงาน การจ้างงานทั้งในภาคการผลิตและภาคบริการ สภาพคล่องทางการเงิน และความมั่งคั่งทางการเงิน
เรียกได้ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เกิด
‘Economic shutdown’ หรือ
‘Sudden stops’ คือภาวะชะงักงันของระบบเศรษฐกิจโดยสิ้นเชิงก็ไม่ผิดนัก จึงสร้างบาดแผลทางเศรษฐกิจและสังคมได้ลึกและเป็นวงกว้างยิ่งกว่าวิกฤตเศรษฐกิจการเงินครั้งที่ผ่านมา และอาจส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเงินและความเสี่ยงต่อการผิดนัดชำระหนี้ของภาคธุรกิจ จนเกิดอุบัติเหตุทางการเงินได้อีกด้วย
เรียบเรียงจาก KKP insight_จากภัย COVID-19 สู่ความเสี่ยงวิกฤตรอบใหม่ รูปประกอบ: AFP และ pixabay
โดย KKP Research, Kiatnakin Phatra Financial Group