Amit Midha แม่ทัพ Dell ขับเคลื่อนโลกด้วยเทคโนโลยี - Forbes Thailand

Amit Midha แม่ทัพ Dell ขับเคลื่อนโลกด้วยเทคโนโลยี

เทคโนโลยีกำหนดทิศทางการพัฒนาธุรกิจและบริการ รวมทั้งพฤติกรรมการใช้ชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้คน “โลกกำลังเปลี่ยนด้วยเทคโนโลยี” 


    คำกล่าวนี้ไม่ไกลเกินจริง และเป็นบทสรุปสั้นๆ ที่ได้จากการพูดคุยกับ Amit Midha ประธานภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก-ญี่ปุุ่น และโกลบอลดิจิทัลซิตี้ Dell Technologies เมื่อปลายปี 2565 ที่ผ่านมา

    แม่ทัพ Dell ประจำภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก-ญี่ปุ่น (APJ) และโกลบอลดิจิทัลซิตี้ผู้นี้ ถ่ายทอดเรื่องราวและก้าวย่างของเทคโนโลยีที่กำลังเข้ามามีบทบาทต่อการใช้ชีวิตของผู้คน การพัฒนาธุรกิจและบริการ ตลอดจนสินค้าและนวัตกรรมต่างๆ ได้อย่างชัดเจน 

    “เราเชื่อในเทคโนโลยีว่าจะเป็นตัวขับเคลื่อนผู้คนและธุรกิจให้ก้าวเดินไปข้างหน้า เทคโนโลยีช่วยพัฒนาบริการและประสานกับผู้คน” Amit เริ่มต้นการพูดคุยกับทีมงาน Forbes Thailand ในโอกาสที่เขามาเยือนไทยอย่างเป็นทางการหลังสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งนำการเปลี่ยนแปลงมากมายมาสู่ธุรกิจ เนื่องจากข้อจำกัดในการพบปะผู้คน มีส่วนผลักดันให้เทคโนโลยีเติบโตอย่างรวดเร็ว นำสู่รูปแบบใหม่ของการทำธุรกิจและพฤติกรรมผู้บริโภค

    “เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะขับเคลื่อนทุกอย่าง เราต้องการเป็นอาณาจักรของเทคโนโลยีและข้อมูล เพื่อนำมาพัฒนาธุรกิจและบริการได้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้” เขาหมายถึงการใช้ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เพื่อพัฒนาธุรกิจหรือออกแบบฟังก์ชันต่างๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจเติบโตได้ 

    ในยุคของเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลจำนวนมหาศาล ดิจิทัลเทรนด์ คือภาพอนาคตที่ชัดเจน เมื่อถนนทุกสายมุ่งสู่ดิจิทัล ซึ่งเป็นระบบที่จะทำให้การพัฒนาต่างๆ เดินหน้าได้อย่างรวดเร็ว โลกเชื่อมต่อกันด้วยดิจิทัล สินค้าและนวัตกรรมต่างๆ ก็เช่นเดียวกัน 

    ดิจิทัลมีส่วนอย่างมากในการพัฒนาทุกด้าน จะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีหลายอย่างทำได้เร็วขึ้น สะดวกและครอบคลุมพื้นที่ได้กว้างขึ้น ด้วยการเชื่อมโยงของเทคโนโลยี เช่นบริการอย่าง cloud service ซึ่งทุกวันนี้มีผู้ให้บริการมากมาย มีทั้งแบบสาธารณะ public cloud และแบบส่วนตัว private cloud ให้เลือกใช้ตามความต้องการ 

    แต่สำหรับภาคธุรกิจแล้ว Amit บอกว่า multi cloud คือแนวทางที่เหมาะสม เพราะมีทั้งความสะดวก ประหยัด และปลอดภัย ในการเก็บข้อมูลและนำมาใช้ ซึ่ง Dell มีโซลูชันสำหรับการจัดการข้อมูลผ่านระบบคลาวด์เพื่อช่วยในการพัฒนาธุรกิจ


ยุคของฐานข้อมูล

    ฐานข้อมูลเติบโตอย่างมากและกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการนำมาต่อยอดการออกแบบสินค้าและบริการ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าได้ตรงความต้องการ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในรถยนต์แต่ละคันมีข้อมูลจำนวนมากที่มาจากการใช้งาน 

    ข้อมูลเหล่านี้สามารถนำมาออกแบบฟังก์ชั่นการใช้งานต่างๆ ซึ่งจำเป็นต่อการพัฒนา โดยเฉพาะข้อมูลแบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยในการบังคับการใช้งานของรถยนต์ไฟฟ้า Dell มีโซลูชันสำหรับการจัดการข้อมูลเหล่านี้ และมีฐานข้อมูลในระบบคลาวด์ที่พร้อมบริการ

    “เรามีบริการครบทั้ง cloud service, 5G, Edge, และ AI ที่สามารถใช้งานร่วมกัน โดย consolidate ข้อมูลจากทุกระบบมาประมวลผล” การทำงานร่วมกันนี้ทำให้เกิดผลลัพธ์คือความต้องการที่แท้จริง นำไปสู่การออกแบบเพื่อตอบสนองฟังก์ชั่นการใช้งานต่างๆ โดยมีเทคโนโลยีเป็นตัวกลางในการรวบรวม จัดการ และประมวลผลความต้องการให้ตรงกับดีมานด์ เป็นหัวใจและกลยุทธ์การให้บริการของ Dell

    โลกตะวันตกเทคโนโลยีรุดหน้าไปมาก ส่วนภาคพื้น APJ ข้อมูลจาก Dell International สามารถอธิบายความสำคัญของการทำงานในยุคของข้อมูลได้เป็นอย่างดี ตัวเลขหลายอย่างแปลงเป็นอินโฟกราฟิกแสดงให้เห็นภาพได้ชัดเจน เช่น Dell มีฐานธุรกิจทั่วโลกในการลงไปทำตลาดอย่างจริงจัง โดยมีโรงงานอยู่ใน 20 โลเกชั่น และมี 740 ดิสทิบิวชั่นที่กระจายสินค้าสู่ผู้บริโภคและลูกค้า 

    นอกจากนี้ ยังมีคอมเพล็กซ์เทคโนโลยีที่พร้อมให้บริการลูกค้าทั่วโลก “ฐานข้อมูลเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เราสามารถนำมาใช้เพื่อการพัฒนาเทคโนโลยี รวมถึงการทำ security ทางด้านไอทีและเทคโนโลยี” โดยมีฐานข้อมูลขนาดใหญ่เป็นเครื่องมือสำคัญในการวิเคราะห์ นำไปสู่การสร้างเทคโนโลยีใหม่ขึ้นมาตอบสนองความต้องการของตลาด

    “คุณอาจแปลกใจที่เรามีซอฟต์แวร์อัจฉริยะมากมาย ภายใต้เครือข่ายเทคโนโลยี ส่วน multi cloud ศูนย์เก็บรวบรวมข้อมูลที่ลูกค้าสามารถเลือกใช้ตามความเหมาะสม” เนื่องจากข้อมูลมีความหลากหลายและสำคัญแตกต่างกัน 

    สิ่งที่ Amit อธิบายอยู่ภายใต้ธุรกิจหลักการให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี (ISG: Infrastructure Solution Group) โซลูชันด้านเทคโนโลยีของ DELL ที่พร้อมบริการตามความต้องการ ซึ่งมีทั้ง เน็ตเวิร์กกิ้ง เซิร์ฟเวอร์ สตอเรจ คลาวด์เซิร์ฟเวอร์ คลาวด์ซีเคียวริตี้ คลาวด์ซอฟต์แวร์ เอไอ และเทคโนโลยี 5G 

    ทุกอย่างสามารถผนวกเข้าด้วยกันเพื่อให้บริการ ซึ่งธุรกิจนี้เติบโตประมาณ 12% ในไตรมาส 3 ปี 2565 ปัจจุบันเติบโตอยู่ 13% โดยเฉพาะธุรกิจคลาวด์เซอร์วิสเติบโตอย่างต่อเนื่อง

    Amit ย้ำว่า จากนี้ไปการทำธุรกิจต่างๆ เทคโนโลยีจะเป็นเรื่องที่ท้าทาย เพราะการแข่งขันสูงทุกคนต่างเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงเทคโนโลยี และการให้บริการที่รวดเร็วครอบคลุมมากขึ้น เนื่องจากสองปีที่ผ่านมาความต้องการทางด้านเทคโนโลยีไอทีเติบโตสูงมาก 

    “ความต้องการใช้อุปกรณ์ไอทีและเทคโนโลยีมีมากขึ้น จะเห็นว่าบริษัทต่างๆ ใช้อุปกรณ์เสริม นอกจากคอมพิวเตอร์แล้ว ยังมีเครื่องมือการสื่อสารเทคโนโลยีใหม่มากขึ้น” เป็นทิศทางที่ชัดเจนของธุรกิจเทคโนโลยีที่เห็นได้จากการใช้อุปกรณ์ที่อำนวยความสะดวกได้ดีขึ้น

    ผู้บริหาร Dell ภาคพื้น APJ บอกว่าตลาดที่สำคัญหลังจากนี้จะเน้นไปยังกลุ่มไฮเอนด์ที่มีกำลังซื้อ ถือเป็นตลาดคุณภาพ ด้วยดีมานด์ของตลาดระดับบน ประเภทของอุปกรณ์จะแยกตามกลุ่มการใช้งาน เช่น iPad เน้นบริการที่ให้กับภาคธุรกิจ 

    ขณะที่ พีซี เซิร์ฟเวอร์ สโตเรจ เป็นลูกค้าองค์กร แต่หลังจากนี้ไปองค์กรอาจไม่จำเป็นต้องซื้อเครื่องพีซี เซิร์ฟเวอร์ เหมือนในอดีต หลายแห่งสามารถเลือกการเช่าใช้บริการระบบคลาวด์ 

    ธุรกิจนี้กำลังขยายตัว และเทคโนโลยีจะเข้ามาพัฒนาธุรกิจต่างๆ เช่น บริการ สมาร์ทรีเทล การนำเทคโนโลยีเข้าไปใช้ในธุรกิจค้าปลีก เพื่อความรวดเร็วในการให้บริการและความถูกต้องแม่นยำ 

    นอกจากนี้ ยังสามารถพัฒนาให้หลากหลาย เช่น สมาร์ทเชน สมาร์ทแฟคตอรี่ เป็นต้น และสำหรับธุรกิจไซซ์ S อาจนึกถึงบางอย่างที่อยู่ไกลจากออฟฟิศ แต่สามารถติดต่อสื่อสารกันได้ด้วยเทคโนโลยี

    “ลูกค้าสามารถใช้ข้อมูล และเครือข่ายเทคโนโลยีต่างๆ ร่วมกันได้จาก cloud service ซึ่งมีทั้งแบบ multi และ private” เขาอธิบายว่าลูกค้าสามารถเลือกใช้บริการ และสร้างให้เป็นฐานข้อมูลสำหรับองค์กร โดยเลือกให้เหมาะสมกับความต้องการใช้งานขององค์กร และความต้องการของลูกค้า 

    ซึ่ง Dell เป็นผู้ให้บริการหลักในธุรกิจที่ต่อเนื่องกับเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการ การจัดระบบระเบียบ การจัดการซัพพลายเชน สิ่งต่างๆ เหล่านี้ตัวข้อมูลและเทคโนโลยีมีส่วนช่วยให้ทำงานได้เร็วขึ้น สะดวกแม่นยำและถูกต้องมากขึ้น



เทคโนโลยีที่ยั่งยืน

    นอกจากบริการที่ถูกต้องและตรงตามความต้องการตลาดแล้ว Dell ยังให้ความสำคัญกับแนวโน้มในอนาคตในเรื่องของความยั่งยืน (Sustainability) ซึ่งเป็นโจทย์สำคัญระดับโลก มีการวางเป้าหมายชัดเจนในปี 2573 อุปกรณ์หนึ่งชิ้นของ Dell ต้องใช้งานได้ครอบคลุม และภายในปี 2593 ธุรกิจ Dell จะเป็นซีโร่คาร์บอน ลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์เป็นศูนย์

    การจะก้าวไปสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืนพร้อมกับการเติบโตทางธุรกิจ ต้องมีแผนงานที่ชัดเจน แม้ Amit จะไม่ลงในรายละเอียดแต่เขาสรุปสเต็ปท์การทำงานใน 3 ขอบข่าย 

    เริ่มจากขอบข่ายแรก การนำระบบซัพพลายเชนต่างๆ มาอัพสตรีมสู่ระบบฐานข้อมูลเทคโนโลยี ขอบข่ายที่สอง การบริหารจัดการข้อมูล และขอบข่ายที่สามดาวน์สตรีม เป็นขั้นตอนปลายน้ำที่ค่อนข้างยุ่งยาก แต่จะเกิดขึ้นได้หากมีการวางแผนที่ดี

    “ในปี 2573 เราจะมีผู้หญิงในระดับบริหาร 40% และผู้หญิงในระดับพนักงาน 50% เราพยายามทำให้สัดส่วนเท่ากันคือ 50/50 จะทำให้ธุรกิจมีความเชื่อมโยงและตอบสนองเรื่องความยั่งยืน” Amit อธิบายว่าความยั่งยืนในการทำธุรกิจนี้หมายถึงการบริหารการจัดการต่างๆ รวมทั้งการตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค และการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า

    โดยช่วงสถานการณ์โควิดที่ผ่านมาเทคโนโลยี เป็นช่องทางเดียวที่คนทุกคนทั่วโลกจะสามารถใช้ในการติดต่อสื่อสาร เนื่องจากทุกคนต้องลดการพบปะและการสัมผัส จึงหันมาใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารมากขึ้น เทคโนโลยีจึงมีบทบาทสำคัญ

    “ในช่วงโควิดเราค่อนข้างภูมิใจที่สามารถให้บริการผู้คนได้มากขึ้น และเชื่อว่าจะตอบสนองการใช้งานที่ดีหลังโควิดได้อย่างต่อเนื่อง” เขายืนยันพร้อมยกตัวอย่างความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในช่วงโควิดว่า ทุกวันนี้คนทำงานจากที่ไหนก็ได้ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นวิถีที่นำมาใช้มากขึ้น ผู้คนเลือกทำงานออนไลน์มากขึ้น เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต การทำงาน การติดต่อสื่อสาร หลายอย่างเปลี่ยนไป 

    ปัจจุบันผู้คนใช้อุปกรณ์สื่อสารที่หลากหลายมากขึ้น เลือกใช้อุปกรณ์ที่สามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ ไม่ใช่แค่คนใดคนหนึ่งแต่หลายคนปรับตัวเรื่องของการใช้เทคโนโลยีในการทำงานนอกสถานที่มากขึ้น

    ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นภาพชัดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา Dell เชื่อว่าจะเป็นทิศทางที่เติบโตต่อเนื่องในอนาคต ความหมายของการทำงานในโลกปัจจุบันเปลี่ยนไป การทำงานไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานที่เหมือนแต่ก่อน สามารถทำงานได้จากทุกที่ โดยมีอุปกรณ์เป็นเครื่องมือในการเชื่อมโยงและสื่อสารโดยตรงกับงาน โดยอาจใช้เน็ตเวิร์กกิ้งและเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง 

    ผู้คนต้องการทำงานในพื้นที่ต่างๆ นอกเหนือจากออฟฟิศ น่าสนใจที่พบว่าการทำงานแบบนี้ได้ประสิทธิภาพในการทำงานที่ดีขึ้นด้วย “สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิด culture ใหม่ในการใช้ชีวิตและการทำงาน ซึ่งบริษัทต้องเรียนรู้และปรับตัว” เมื่อพฤติกรรมผู้คนเปลี่ยนไป บริบทของการทำงานไม่จำเป็นต้องยึดติดกับออฟฟิศเหมือนแต่ก่อน เมื่อเป็นเช่นนี้รูปแบบการใช้ชีวิตรูปแบบการทำงาน และการใช้อุปกรณ์เครื่องมือสื่อสารต่างๆ จะมีมากขึ้น

    จากบริการที่เข้าถึงผู้คนและความต้องการที่เปลี่ยนไป ทำให้คำว่า “ดิจิทัล” และ “สมาร์ท” เข้ามามีบทบาทมากขึ้น โมเดลของการพัฒนาสมาร์ทซิตี้ หรือดิจิทัลซิตี้ จะมีความชัดเจนขึ้นเห็นได้จากหลายประเทศที่ Dell ร่วมพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ หรือโลกตะวันตก สำหรับเมืองไทยอนาคตอันใกล้คำว่า “ดิจิทัลซิตี้” จะมีภาพของการบริหารจัดการที่ชัดเจนขึ้น


ภาพ: API



อ่านเพิ่มเติม: เสถียร เสถียรธรรมะ นำทัพ “คาราบาว” ปูพรมรีเทลท้องถิ่น


คลิกอ่านฉบับเต็มและบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนมีนาคม 2566 ในรูปแบบ e-magazine