มหัศจรรย์แห่งพสุธา แอฟริกาใต้: ที่สุดแห่งเมืองตากอากาศ Cape Town - Forbes Thailand

มหัศจรรย์แห่งพสุธา แอฟริกาใต้: ที่สุดแห่งเมืองตากอากาศ Cape Town

หากพูดถึงการเดินทางไปเยือนประเทศแอฟริกาใต้ เชื่อว่าสิ่งแรกที่หลายคนนึกถึงคงเป็นทุ่งหญ้าสะวันนาที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยเหล่าสัตว์ป่าน้อยใหญ่ แต่อันที่จริงแล้ว แอฟริกาใต้ยังมีเมืองแห่งการพักผ่อนที่สวยและมีเสน่ห์เมืองหนึ่งของโลกอย่าง Cape Town อยู่ด้วย

Cape Town หรือ เคปทาวน์ เป็นเมืองเล็กๆ อายุกว่า 300 ปีที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของแอฟริกาใต้ โดยเริ่มเป็นที่รู้จักจากการที่ชาวโปรตุเกสได้พยายามสำรวจฝั่งตะวันตกของแอฟริกา เพื่อหาหนทางเดินเรือไปสู่อินเดียให้ได้

เหล่านักสำรวจใช้เวลาอยู่เกือบ 50 ปี จึงได้แล่นเรืออ้อมปลายสุดของทวีปแอฟริกา แต่ที่ปลายแหลมนี้มีพายุและคลื่นลมแรง ยากแก่การเดินเรืออ้อม จึงให้ชื่อว่าแหลมพายุ (Cape of Storms) ต่อมาได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Cape of Good Hope หรือแหลมแห่งความหวัง

เคปทาวน์ตั้งอยู่ปลายสุดของแอฟริกาใต้ เป็นเมืองที่ถูกโอบล้อมด้วยมหาสมุทรอินเดียและแอตแลนติก ด้านหน้าหันเข้ามหาสมุทรทั้งสอง ส่วนด้านหลังมีเทือกเขาสูงเป็นฉากหลัง ตัวเมืองเป็นส่วนหนึ่งของภูเขารูปโต๊ะ (Table Mountain) ขณะที่แผ่นดินของตัวเมืองมีลักษณะคล้ายอ่าง

และด้วยสภาพภูมิอากาศแบบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่มีลมแรงตลอดทั้งปี จึงทำให้มลพิษทางอากาศถูกพัดออกไปจากเมือง จึงไม่น่าแปลกใจที่หากไปเยือนเคปทาวน์ เราจะได้พบกับอากาศดีๆ และสูดอากาศบริสุทธิ์ได้แบบเต็มปอด

 

ชมวิวที่ Table Mountain

หากไปเยือนเคปทาวน์แล้วล่ะก็ หนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดเลยก็คือการขึ้นไปชมวิวเมืองที่ Table Mountain ภูเขาที่มียอดเขาราบเรียบแลดูเหมือนโต๊ะ ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเคปทาวน์

วิว Table Moutain มองจากห้างสรรพสินค้าใน Vitoria & Alfred Waterfront

โดยมีความยาวประมาณ 2 กิโลเมตร สูง 1,086 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง เป็นส่วนหนึ่งของ Table Mountain National Park ซึ่งรวมอยู่ในภูมิภาคเคปฟอรัล และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติของแอฟริกาใต้เมื่อปี ค.ศ.2004

การเดินทางขึ้นชมวิวบนยอดเขานั้นไม่ยาก จากจุดจอดรถและศูนย์บริการนักท่องเที่ยว จะมีกระเช้าไฟฟ้าขึ้นสู่ยอดเขาไว้ให้บริการอยู่ โดยเดินทางได้ครั้งละ 65 คน ความพิเศษคือระหว่างการเดินทางขึ้นลง กระเช้าจะหมุนรอบตัวเองด้วย ทำให้นักท่องเที่ยวทุกคนได้ชมวิวเส้นทางขึ้นเขาแบบ 360 องศา

ขณะที่บนยอดเขามีพืชพรรณนานาชนิด และหลายชนิดเป็นพืชถิ่นเดียว ซึ่งไม่พบในที่อื่นของโลก นอกจากนี้ยังมีสัตว์ตัวเล็กๆ หน้าตาน่ารักอย่างตัวแดสซี่ หรือกระต่ายหิน (Dassie or Rock Rabbit) อาศัยอยู่

ยอดเขาที่ทอดยาวมีทางเดินให้นักท่องเที่ยวได้ทอดน่องชมวิวภูเขาทอดตัวยาว มีตัวเมืองรายล้อมอยู่ด้านล่าง พื้นที่เมืองบางส่วนเลียบไปกับชายหาดสีขาวตัดกับน้ำทะเลสีน้ำเงิน มีหมอกเย็นๆ คลอเคลียเหนือมหาสมุทร เป็นบรรยากาศที่น่าประทับใจยิ่งนัก

 

Cape Town City Hall

จากจุดชมวิวบน Table Mountain เพื่อไปยังจุดหมายปลายทางต่อไป คณะของเราเดินทางผ่านตัวเมืองซึ่งเป็นที่ตั้งของศาลาว่าการเมืองเคปทาวน์ และยังเป็นสถานที่จัดนิทรรศการศิลปะและคอนเสิร์ตยอดนิยมอีกด้วย

อาคาร City Hall

อาคารที่มีสถาปัตยกรรมแบบเอ็ดเวิร์ดที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองแห่งนี้ เริ่มก่อสร้างขึ้นในปี 1900 ใช้เวลาก่อสร้างทั้งหมด 5 ปี ที่นี่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 เนื่องจากเป็นสถานที่ที่ Nelson Mandela กล่าวสุนทรพจน์ต่อหน้าประชาชนเป็นครั้งแรกหลังได้รับอิสรภาพจากการถูกจำคุกเป็นเวลา 27 ปี

ชมความงามของภายนอกอาคารที่ทำด้วยหินปูนและเป็นศิลปะสมัยเรอเนสซองส์แบบอิตาลีที่โดดเด่น สังเกตจากเสาแต่ละต้นที่ประดับด้วยหัวเสาที่แกะสลักอย่างประณีต อาคารสีน้ำผึ้งแห่งนี้ยังมีหอนาฬิกาซึ่งเรียกกันว่าเป็นแบบจำลองขนาดย่อมของหอนาฬิกา Big Ben ใน London

 

ออกทะเลชมแมวน้ำที่ Hout Bay

ฮูทเบย์ (Hout Bay) เป็นย่านหมู่บ้านเล็กๆ ของเคปทาวน์ซึ่งตั้งอยู่ในหุบเขาบนชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก โดยห่างจากเขตธุรกิจหลักของเคปทาวน์ไปทางทิศใต้ราว 20 กิโลเมตร

ฝูงแมวน้ำมารอรับตั้งแต่บริเวณท่าเรือ

ฮูทเบย์ตั้งอยู่ระหว่างสองยอดเขา และมีอ่าวอันกว้างใหญ่ สามารถทำกิจกรรมได้หลากหลาย ซึ่งในกิจกรรมที่เราได้ทำในครั้งนี้คือการล่องเรือจากท่าไปรอบๆ ภูเขา Sentimel เพื่อไปยังเกาะ Duiker ชมอาณาจักรขนาดใหญ่ของแมวน้ำเฟอร์ซีลแห่งแอฟริกาใต้ ที่จะนอนรวมกลุ่มอยู่กันบนโขดหิน

สำหรับแมวน้ำที่อาศัยอยู่บนเกาะแห่งนี้ เป็นสายพันธุ์ Cape Fur Seal ซึ่งในโลกพบแค่ 2 แห่ง ที่แรกอยู่แถวออสเตรเลียตอนใต้ อีกที่คือตอนใต้ของทวีปแอฟริกา พวกมันมีนิสัยขี้เล่น ชอบว่ายน้ำฉวัดเฉวียน โดยเรือนักท่องเที่ยวจะได้ชมอยู่ห่างๆ ดังนั้นหากใครอยากได้รูปแมวน้ำใกล้ๆ ก็ต้องเอาเลนสำหรับถ่ายภาพระยะไกลมาด้วย

 

ใกล้ชิดเพนกวินในแอฟริกาใต้

อีกหนึ่งกิจกรรมที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนเคปทาวน์ คือการไปสัมผัสความน่ารักของเหล่าเพนกวินที่หาด Boulders ที่ตั้งอยู่ในเมืองเก่าแก่เมืองเล็กๆ ใกล้กับเคปทาวน์อย่าง Simon’s Town

ทางเดินเพื่อไปชมบริเวณโซนอนุรักษ์เพนกวิน

นอกจากหินกลมๆ ทรงแปลกตาและชายหาดที่เหมาะแก่การว่ายน้ำ หาดแห่งนี้ยังมีโซนอนุรักษ์เพนกวินแอฟริกันที่อาศัยอยู่กันเป็นโคโลนีขนาดใหญ่

เพนกวินแอฟริกันเหล่านี้ (หรือเรียกอีกชื่อว่าเพนกวินเท้าดำ) เดิมได้ชื่อว่า “เพนกวินลา” (Jackass Penguin) เนื่องจากมีเสียงร้องเหมือนลา ต่อมาได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นเพนกวินแอฟริกัน เพราะเป็นเพนกวินเพียงชนิดเดียวที่พบได้ในทวีปแอฟริกา และส่วนใหญ่จะพบได้บริเวณแหลมกู๊ดโฮป

ในปี 1983 เพนกวินแอฟริกันคู่หนึ่งถูกพบเห็นที่หาด Boulders และตั้งแต่ปี 1985 ประชากรเพนกวินก็เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วประมาณ 60% ต่อปี เป็นผลจากการอพยพเคลื่อนย้าย โดยเฉพาะการเดินทางมาจากเกาะ Dyer รวมถึงการผสมแพร่พันธุ์

แม้ว่า Simon’s Town จะภูมิใจในเพนกวินมาก แต่ผู้อยู่อาศัยในบริเวณใกล้เคียงกลับได้รับความเดือดร้อนจากการที่เพนกวินมาก รวมถึงการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาเช่นกัน ทำให้อุทยานแห่งชาติ Cape Penninsula ต้องเข้ามาดูแลพื้นที่แห่งนี้

 

Cape of Good Hope

หากไปเคปทาวน์แล้วไม่ไปเยือนแหลมอันสุดโด่งดังนี้ก็คงเหมือนมาไม่ถึง Cape of Good Hope นับเป็นจุดเริ่มต้นของการค้นพบเส้นทางประวัติศาสตร์การค้าจากโลกตะวันตกสู่โลกตะวันออก บริเวณนี้มีกระแสคลื่นและลมรุนแรงตลอดปี เป็นอันตรายต่อการเดินเรือ

เรือจำนวนมากหายสาบสูญไปจนเป็นที่มาของเรื่องราวเรือผีสิง Flying Dutchman ที่ต้องคำสาปให้เดินทางในมหาสมุทรชั่วกัลปาวสาน

แหลมกู๊ดโฮป ถ่ายจากจุดชมวิวบน Cape Point

แหลมแห่งความหวังแห่งนี้ถูกเชื่อกันอย่างผิดๆ ว่าเป็นปลายสุดของทวีปแอฟริกา และเป็นที่ที่กระแสน้ำของมหาสมุทรอินเดียและแอตแลนติกมาบรรจบกัน นำมาสู่ความแปรปรวนของสภาพอากาศ แต่ความเป็นจริงแล้วจุดที่อยู่ปลายสุดของของทวีปแอฟริกาคือแหลมอะกะลัส (Cape Agulhas) ซึ่งห่างจากแหลมกู๊ดโฮปออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้อีก 150 กิโลเมตร

ไม่ไกลจากแหลมกู๊ดโฮปนักคือแหลมที่เรียกว่า Cape Point หรือแหลมที่อยู่ปลายสุดของ Cape Penninsula โดยเป็นแหลมหินที่ยื่นออกไปในมหาสมุทรแอตแลนติก

Cape Point มองจากบนประภาคาร

ไฮไลท์ของการขึ้นไปชม Cape Point คือนอกจากจะได้ชมความงามของทิวทัศน์แล้ว ที่นี่ยังเป็นจุดชมวิวแหลมกู๊ดโฮปที่ดีที่สุด ทั้งด้วยความสูงที่มากกว่า และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ รวมถึง “รถราง” ที่จะพาเราขึ้นไปถึงด้านบนได้อย่างสะดวกสบาย

บนยอดของ Cape Point ยังมีประภาคารเก่าแก่ที่คอยเตือนเรือเดินทะเลที่แล่นผ่านบริเวณนี้ ทั้งยังเป็นที่ให้นักท่องเที่ยวได้เดินขึ้นไปถ่ายรูปและชมวิวทัศนียภาพอันแสนงดงาม

 

ข้อแนะนำ

-แม้จะได้ชื่อว่าเหมาะแก่การมาตากอากาศ แต่เคปทาวน์ก็เป็นเมืองที่มีปัญหาด้านอาชญากรรม ดังนั้นจึงอาจไม่เหมาะกับการเดินชมเมืองยามค่ำคืน

-การนั่งเรือออกไปชมแมวน้ำอาจเจอกับคลื่นลมแรง ควรเตรียมยาแก้เมาเรือติดไปด้วย นอกจากนี้ขณะอยู่บนเรือควรหาที่นั่งให้เรียบร้อย เพราะคลื่นลมแรงทำให้เรือโคลงไปมาจนอาจเกิดอุบัติเหตุได้

-อากาศที่เคปทาวน์ในช่วงต้นเดือนธันวาคมค่อนข้างเย็นสบาย แต่มีลมแรงกับมีฝนตกปรอยๆ ในบางครั้ง ทำให้อากาศเย็นขึ้นกว่าเดิม จึงควรเตรียมเสื้อผ้าที่เหมาะสมติดไปด้วย

-แหล่งช็อปปิ้งสำหรับนักท่องเที่ยวในเคปทาวน์คือย่าน Vitoria & Alfred Waterfront ประกอบด้วยห้างสรรพสินค้า, ร้านอาหาร, สถานบันเทิง, ร้านขายของที่ระลึก และเป็นแลนด์มาร์คอันดับต้นๆ ของเมือง

    ขอบคุณการเดินทางโดย  KTC
ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine