'Asset Allocation' รอบใหม่ เช็กพิกัดลงทุนตลาดหุ้นทั่วโลก - Forbes Thailand

'Asset Allocation' รอบใหม่ เช็กพิกัดลงทุนตลาดหุ้นทั่วโลก

​​กระแสโลกในปี 2567 กำลังจะเปลี่ยนผ่านจากวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นเข้าสู่วัฏจักรขาลง หลังจากประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) Jerome Powell ออกมาส่งสัญญาณเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาว่าน่าจะเห็น “อัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับลดลง ณ จุดหนึ่งจุดใดในปีนี้” โดยขึ้นอยู่กับข้อมูลทางเศรษฐกิจรายเดือนที่ออกมา และคำนึงถึงเป้าหมายแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อสหรัฐอเมริกาปรับลดลงเข้าสู่กรอบ 2% ขณะที่ตลาดแรงงานยังแข็งแกร่ง เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีโอกาสจะไม่เกิดภาวะถดถอยและประเทศใหญ่ๆ ก็เริ่มเห็นภาพชัดเจนขึ้นกว่าปีที่แล้ว


    การคว้าโอกาสลงทุนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปีนี้ด้วยการจัด asset allocation ที่เหมาะสม โดย ระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการทางการเงินที่ครบเครื่อง ได้ให้มุมมองแนวโน้มการลงทุนในประเทศและ global market พร้อมเปิดฉากการสนทนาเกี่ยวกับวิธีการลงทุนที่แตกต่างกันของลูกค้าแต่ละกลุ่ม

    สิ่งสำคัญควรเริ่มจากการเข้าใจระดับการลงทุนของตัวเอง และต้องอยู่กับความเป็นจริงที่ว่าในโลกของการลงทุนมีทั้งผลตอบแทนสูงมากหรือผลตอบแทนระดับหนึ่ง ถ้าต้องการความเสถียรของผลตอบแทนในระดับที่พอรับได้ก็จะมีความเสี่ยงต่ำ แต่ถ้าต้องการผลตอบแทนสูงๆ ก็แน่นอนว่ามีความเสี่ยงสูงขึ้น 

    "คนชอบพูดว่าการลงทุน (สินทรัพย์) มีความเสี่ยงสูง ผลตอบแทนก็จะสูง อันนี้ผิด ผมมองว่าเราดูผลตอบแทนก่อนแล้วค่อยดูความเสี่ยงที่จะได้ผลตอบแทนนี้ว่าสูงหรือไม่สูง ซึ่งก็เป็นไปได้เหมือนกันที่ความเสี่ยงเท่ากันแต่ (สินทรัพย์) อันหนึ่งจะให้ผลตอบแทนดีกว่าอีกอันหนึ่ง เพราะบางทีหากวิ่งเข้าหาอันที่มีความเสี่ยงต่ำก็อาจจะขาดทุนได้ หรือถ้าวิ่งเข้าหาอันที่มีความเสี่ยงสูงก็อาจมีกำไรที่เสถียรไปเรื่อย ๆ ก็ได้ คือบางทีความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนสูงก็มี หรือความเสี่ยงสูง ผลตอบแทนต่ำก็มีเช่นกัน"

    การจัดพอร์ตในกลุ่มลูกค้า wealth ถ้าเป็นแบบทั่วไปที่โลกพูดกันคือแบ่งสัดส่วน 60% ลงทุนในตลาดทุน และ 40% ลงทุนในบอนด์ (ตราสารหนี้) ซึ่งเป็นสัดส่วนมาตรฐานที่ทั่วโลกคิด อาจเรียกได้ว่าเป็น golden ratio ถ้าพิจารณาจากสถานการณ์โลก ในช่วง 2 ปีข้างหน้าแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยจะเป็นขาลง ในช่วงนี้ (เดือนเมษายน) ยังลงทุนบอนด์ได้ แม้ขณะนี้อัตราดอกเบี้ยจะยังไม่ได้ปรับตัวลดลง แต่ทุกคนก็เชื่อว่าดอกเบี้ยขาขึ้นใกล้จะสิ้นสุดแล้วหรือสิ้นสุดแล้วในหลาย ๆ ประเทศ แต่อาจมีญี่ปุ่นที่ดอกเบี้ยติดลบปรับขึ้นมาเป็นดอกเบี้ยบวกอยู่ระดับต่ำ ๆ (ซึ่งก็ยังไม่ได้ขึ้นดอกเบี้ย) เพราะค่าเงินเยนเริ่มกลับมาอ่อนตัว 

    "เพราะฉะนั้นเราเคยเห็นแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อไม่ให้เงินเฟ้อขึ้น ตอนนี้ก็ไม่ใช่กระแสแล้ว ตลาดเริ่มมีแรงผลักดันให้ลดดอกเบี้ย ถ้าเราเชื่อแบบนั้น แทนที่จะลงทุน bond สัดส่วน 40% ก็ปรับขึ้นเป็น 50% ของพอร์ตได้ เพราะว่าถ้าดอกเบี้ยลง ราคา bond จะขึ้น"



    สำหรับกระแสกรีนบอนด์ (green bond) โดยปกติเป็นการออกเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับโลกสีเขียว เพราะฉะนั้นกรีนบอนด์จะให้ดอกเบี้ยที่ถูกลง ถ้าเป็นฝั่งผู้ออกหุ้นกู้ก็จะยินดีที่ได้ต้นทุนดอกเบี้ยที่ถูก แต่ถ้าเป็นฝั่งนักลงทุนก็อาจต้องคิดอีกทีว่าจะเลือกลงทุนรับผลตอบแทนต่ำเพื่อสนับสนุนโลกสีเขียว หรือต้องการลงทุนบอนด์ทั่วไปเพื่อจะเอาผลตอบแทนที่ดีกว่า ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่ไม่ได้ลงทุนในกรีนบอนด์จะเป็นคนทำลายโลก หรือถ้าลงทุนบอนด์ทั่วไปรับผลตอบแทนสูงแล้วจะทำให้โลกไม่สีเขียวสวยงามเพราะฉะนั้นต้องตัดสินใจเอง

    ส่วนการลงทุนในหุ้นเป็นอีกสินทรัพย์ที่เปิดกว้างให้คนไทยเข้าไปลงทุนในตลาดทั่วโลก (global market) ซึ่ง global market ที่น่าลงทุนจะขึ้นอยู่กับมุมมองที่แตกต่างกันของแต่ละคน หากพิจารณาจากช่วงปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทำผลตอบแทนดีมาก แข็งแกร่ง และได้รับการคาดการณ์แนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อไป

    ระเฑียรยังให้มุมมองการลงทุนเปรียบเทียบระหว่างหุ้นไทยและตลาดหุ้นทั่วโลก (global market) ว่าหุ้นไทยยังมีข้อจำกัด เนื่องจากเศรษฐกิจไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีลักษณะเหมือน lost decades หรือเศรษฐกิจที่ไม่ได้มีการพัฒนาเลย ซึ่งหากพิจารณาจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทยก็ไม่ดีเท่าที่ควรจะเป็น และผู้ประกอบการไม่ได้มีการปรับตัวเพื่อให้แข่งขันได้ รวมถึงภาครัฐยังพยายามเข้ามาช่วยเหลือโดยไม่ปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด ทำให้บริษัทจดทะเบียนไทยเกิดภาวะที่เรียกว่า 'ซอมบี้' และเมื่อถึงเวลาต้องเติบโตกลับเติบโตได้ไม่เต็มที่ โดยเฉพาะปัจจุบันที่มีเทคโนโลยีใหม่เกิดขึ้น หากไม่มีการปรับตัวก็จะถูก disruption ได้

"ผมคิดว่าถ้าเป็นคนที่มีเงินเยอะก็สามารถ allocate ในสินทรัพย์ทางเลือกได้ แต่ต้องทำความเข้าใจพวกข้อจำกัดของสินทรัพย์ alternative ก่อน เพราะแม้มีโอกาสทำกำไรได้เยอะแต่ก็มีโอกาสที่จะสูญเยอะเหมือนกัน อย่าง cryptocurrency เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีความเสี่ยงสูงมากอยู่แล้ว คนชอบลงทุนเพราะราคาขึ้นแบบทันใจ แต่ละวันราคาจะขึ้นลงเหวี่ยงสูงสุด ถ้าเป็นหุ้นยังขึ้นหรือลงช้ากว่า ส่วน bond ยิ่งช้ากว่าหุ้น และเงินฝากจะเคลื่อนไหวน้อยที่สุด โดยการจัดพอร์ตถ้าไม่ต้องการให้เงินต้นเสียหาย คุณก็ไม่ควรลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงที่จะเสียหายได้ แต่ถ้าคิดว่ารับความเสี่ยงได้เพราะอยากได้ผลตอบแทนสูงๆ ก็ต้องเสี่ยงลงทุน" ระเฑียร กล่าวทิ้งท้าย


เรื่อง: วิไล อักขระสมชีพ 

ภาพ: บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน)



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ความผันแปรของโลก คือโอกาสของไทยและอาเซียน

คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจในรูปแบบ e-magazine ได้ที่ นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับพิเศษ Wealth Management & Investing 2024 แถมฟรีมาพร้อมกับนิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนมิถุนายน 2567