ในโลกธุรกิจยุคใหม่องค์กรไม่ได้ดำรงอยู่เพียงเพื่อขับเคลื่อนกำไร กลยุทธ์ หรือเติบโตตามเป้าหมายทางเศรษฐกิจเท่านั้น หากแต่ต้องเผชิญแรงกดดันจากหลายทิศทาง ไม่ว่าจะเป็นข้อกำหนดทางกฎหมาย มาตรฐานวิชาชีพสากล ความคาดหวังของผู้บริโภค และกระแสการเปลี่ยนแปลงที่ถาโถมเข้ามาทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี
IFRS (International Financial Reporting Standards) หรือมาตรฐานการรายงานทางการเงินระหว่างประเทศ บ่งชี้ให้องค์กรรายงานงบการเงินที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ เช่นเดียวกับ ESG หรือกรอบแนวคิดการประเมินความยั่งยืนขององค์กร 3 ด้านทั้งสิ่งแวดล้อม (environmental) สังคม (social) และธรรมาภิบาล (governance) ที่นำมาประเมินองค์กร โดยเฉพาะภาคธุรกิจอย่างแข็งขันในปัจจุบัน
2 ตัวชี้วัดนี้แสดงให้เห็นว่า องค์กรจึงต้องอยู่ภายใต้การ “กำกับ” จากภายนอกในรูปแบบต่างๆ นอกจากกฎหมายที่ป้องกันไม่ให้ธุรกิจละเมิดสิทธิของผู้มีส่วนได้เสีย ซึ่งเป็นไปตามแนวโน้มของสังคมและผู้บริโภคที่ “คาดหวัง” ให้องค์กร หรือภาคธุรกิจ “ดีให้พอ” ทั้งด้านจริยธรรม ความโปร่งใส และความรับผิดชอบต่อส่วนรวมตลอดห่วงโซ่คุณค่า (value chain)
อย่างไรก็ดีแม้กฎเกณฑ์ภายนอกจะทำหน้าที่เป็นกรอบคุ้มครองที่สำคัญ แต่สิ่งที่หล่อเลี้ยงให้องค์กรสามารถ “ยืนหยัด” และ “เติบโต” ได้อย่างแท้จริงกลับไม่ได้มาจากแรงกดดันเหล่านั้นเพียงลำพัง หากมาจาก "แรงส่งจากภายใน" หรือที่เราเรียกว่า “ธรรมาภิบาล” (corporate governance) นั่นเอง ในแง่นี้ภาพสะท้อนของสิ่งที่เรียกว่า “ธรรมาภิบาล” จึงส่งเสริมความ “กล้าหาญเชิงจริยธรรม” ให้ “ควรทำ” จากภายในมีค่ามากกว่า “สิ่งที่จำเป็นต้องทำ” ที่ถูกกำกับโดยภายนอก
Cadbury Committee (1992) ให้นิยามว่า ธรรมาภิบาลคือ “the system by which companies are directed and controlled” คือ ระบบที่กำกับการบริหารตลอดทั้งองค์กร ไม่ใช่แค่การทำตามกฎอย่างเคร่งครัด ขณะที่ Investopedia และ MetricStream สรุปหลักการสำคัญของธรรมาภิบาลไว้ว่า ได้แก่ ความรับผิดชอบ (accountability), ความโปร่งใส (transparency), ความยุติธรรม (fairness), การบริหารความเสี่ยง (risk management) และความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้เสีย (responsibility)
บทความนี้ใคร่ขอเป็นบันไดปูทางไปสู่บทความ “ธรรมาภิบาลองค์กร” ซึ่งโครงการพิเศษขององค์การสหประชาชาติภายใต้ UN Global Compact นิยามว่า เป็น “ระบบ” และ “กระบวนการ” ที่ทำให้การดำเนินงานโดยรวมขององค์กร ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ รัฐบาล หรือองค์กรพหุภาคีมีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง
อีกทั้งยังสอดคล้องกับเป้าหมายความยั่งยืนของสหประชาชาติ หรือ SDGs หลายข้อ โดยเฉพาะ SDG 16: สันติภาพ ความยุติธรรม และสถาบันที่เข้มแข็ง และ SDG 17: ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน เนื่องจากธรรมาภิบาลส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม ภายใต้หลักความรับผิดชอบ และความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน
ธรรมาภิบาลจึงไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในเชิงกฎระเบียบหรือ compliance แต่คือ “วัฒนธรรม” ที่เปิดทางให้คนดีได้ทำงาน และเป็น “โครงสร้างพื้นฐาน” ที่ช่วยยกระดับคุณธรรมในองค์กร ขณะเดียวกันจริยธรรมของผู้นำคือ “แรงส่ง” ที่ปลุกพลังของธรรมาภิบาลให้ขับเคลื่อนได้จริงในชีวิตการทำงาน
ในแง่นี้เราจึงไม่สามารถแยก “ธรรมาภิบาล” ออกจาก “จริยธรรม” ได้ แต่ควรมองว่า “ธรรมาภิบาลคือคุณธรรมในระบบ” และ “จริยธรรมคือธรรมาภิบาลในระดับหัวใจผู้นำ” บทความนี้ผมขอเสนอ "จริยธรรม 4 ประการ" ที่จะเป็นเสาหลักให้กับผู้นำยุคใหม่ในภาคเอกชน ดังนี้
1. การครองตน คือจริยธรรมภายในที่มองไม่เห็น แต่เป็นรากของทุกการตัดสินใจ ตั้งแต่การอดทนต่อแรงกดดัน การฟังเสียงวิจารณ์ ไปจนถึงการยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้อง แม้จะไม่เป็นที่นิยม เมื่อผู้นำมีหลักยืนที่มั่นคง องค์กรก็มีทิศทางที่ไม่หวั่นไหว จุดยืนที่มั่นคงในใจผู้นำ ก่อนจะบริหารคนและองค์กรผู้นำต้องบริหาร “ใจ” ตัวเองให้ได้ก่อน
2. การครองงาน ธรรมาภิบาลต้องเริ่มที่ความยุติธรรม และผู้นำคือด่านแรกของความยุติธรรม การครองงานอย่างมีจริยธรรมคือ การบริหารงานโดยไม่ตกอยู่ใน “อคติ 4” ได้แก่ ฉันทาคติ หรือลำเอียงเพราะชอบ โทสาคติ หรือลำเอียงเพราะโกรธ โมหาคติ หรือลำเอียงเพราะหลง ภยาคติ หรือลำเอียงเพราะกลัว เมื่อผู้นำ “ตัดสินที่งานไม่ใช่ที่คน” องค์กรจะได้รับความไว้วางใจ และความไว้วางใจนั้น คือ “ทุนทางสังคมที่ประเมินค่าไม่ได้”
3. การครองคน หัวใจของธรรมาภิบาลคือ “การเห็นคุณค่าของคน” ไม่ใช่แค่ให้ “สิทธิ” แต่ให้ “ศักดิ์ศรี” การครองคนด้วยพรหมวิหาร 4 คือ จริยธรรมที่ยกระดับวัฒนธรรมองค์กรอย่างแท้จริง กล่าวคือ เมตตา หรือ รักและปรารถนาดีต่อผู้อื่น กรุณา หรือพร้อมช่วยเมื่อคนลำบาก มุทิตา หรือยินดีในความสำเร็จของผู้อื่น อุเบกขา หรือ วางใจอย่างเป็นกลาง องค์กรที่นำโดยผู้นำที่มีเมตตาจะสร้างทีมที่พร้อมเดินไปด้วยกัน แม้ในวันที่ยากที่สุด
4. การครองธรรมาภิบาล ธรรมาภิบาลไม่ใช่แค่เอกสารหรือ KPI แต่มันคือ “สภาพแวดล้อม” ที่เปิดโอกาสให้คนมีคุณธรรมได้ทำงานอย่างเต็มศักยภาพ องค์กรที่มีธรรมาภิบาลต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ กล้าพูดความจริง กล้ายอมรับความผิดพลาด ใช้ข้อมูลตัดสินใจ ไม่ใช่อารมณ์หรือความสัมพันธ์ เปิดโอกาสให้คนคิดต่าง และกล้าสร้างสิ่งใหม่ เรียกได้ว่าคือ การสร้างระบบที่คนดีอยากอยู่ คนเก่งอยากเติบโต
“ธรรมาภิบาล” นอกจากจะรักษา “ฐานราก” ขององค์กรให้แข็งแกร่ง มั่นคงแล้ว ผมพบข้อมูลว่า “ธรรมาภิบาล” ยังส่งผลบวกต่อธุรกิจทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาความสัมพันธ์ในห่วงโซ่คุณค่าของการดำเนินธุรกิจ หรือ value chain อาทิ การศึกษาบริษัทจดทะเบียนในสหราชอาณาจักร (ระยะปี 2005-2018) พบว่า เมื่อใช้คะแนนธรรมาภิบาลสูงขึ้นอัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น (ROE) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในบริษัทกลุ่มต่างๆ ซึ่งยืนยันว่าธรรมาภิบาลที่ดีสามารถช่วยพัฒนาผลประกอบการทางธุรกิจได้จริง หรือองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ OECD ระบุว่า ธรรมาภิบาลที่ถูกต้องสร้างความเชื่อมั่นในตลาดทุนระยะยาว เพิ่มการเข้าถึงเงินลงทุน (patient capital) และสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
ดังนั้น เมื่อธรรมาภิบาลเป็นโครงสร้างพื้นฐานและสอดคล้องเกี่ยวเนื่องกับจริยธรรม ภาคเอกชนจึงมีหน้าที่ต้อง “มุมานะ” สร้างวัฒนธรรม “ความกล้าหาญเชิงจริยธรรม” ให้ผู้นำหรือพนักงาน “ทำในสิ่งที่ควรทำ” มากกว่า “สิ่งที่ต้องทำ” หรืออาจเรียกได้ว่า ให้ใช้ “ทำในธรรม” เช่นนี้แล้ว เมื่อระบบธรรมาภิบาลสร้างองค์กรแห่งความเป็นธรรม คนดีจะไม่หมดแรง และเมื่อคนดีไม่หมดแรง องค์กรก็ไม่หมดพลัง
บทความโดย : ดร.ธีระพล ถนอมศักดิ์ยุทธ ประธานคณะผู้บริหารด้านความยั่งยืนองค์กร และการพัฒนากลยุทธ์ บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ครึ่งปีแรกคนไทยระวังใช้จ่าย ห่วงฝุ่นพิษ อิน T-Pop
