เมืองคืออนาคต - Forbes Thailand

เมืองคืออนาคต

เมื่อกลางเดือนตุลาคมของปีที่ผ่านมา ผมไปพูดในการประชุม ณ เมือง Adelaide ประเทศออสเตรเลีย ที่มีคำถามว่าบทบาทของเราอยู่ตรงไหนในเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มรดกตกทอดแบบไหนที่เราควรสานต่อ นิสัยแบบไหนที่เราควรละเลิก เราจะวิวัฒนาการอย่างไรโดยไม่ทำร้ายสิ่งที่เรามี ด้วย Adelaide ไม่ใช่เมืองเรือธงของเศรษฐกิจโลก แต่เป็นเพียงเมืองน่ารักที่มีชีวิตชีวา มีสภาพภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียนมีถนนที่ออกแบบอย่างดี สวนสาธารณะ มหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ระบบสุขภาพที่มีประสิทธิภาพ และเป็นเมืองที่มีความลากหลายทางเศรษฐกิจ ในด้านหนึ่ง Adelaide มีบทบาทสำาคัญในด้านเกษตรกรรมและสินค้าโภคภัณฑ์ แต่อีกด้านกำลังก้าวสู่อุตสาหกรรมเทคโนโลยี การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2016 บอกอะไรหลายอย่าง แต่อย่างหนึ่งที่สำคัญก็คือสหรัฐฯ ต้องการเล่นบทอะไรในเศรษฐกิจโลก เมืองและพื้นที่ที่ไปได้สวยในเศรษฐกิจโลกเลือก Clinton ซึ่งก็เหมือนกับการลงคะแนนให้ประธานาธิบดี Obama เป็นสมัยที่สาม สำหรับบรรดานักอนุรักษ์นิยมและอิสรนิยมผู้ยึดมั่นในอุดมการณ์ใน Silicon Valley และ Seattle ชีวิตอันสมบูรณ์พูนสุขทำาให้พวกเขาตัดสินใจไม่ง่ายนัก เลือกผู้สมัครที่ชิงชังธุรกิจแต่บังเอิญรับได้กับธุรกิจของคุณ (Clinton) หรือชายผู้ที่ดูจะชื่นชอบความเติบโตแต่กลับรังเกียจบริษัทไอทีและการค้า (Trump)  

เศรษฐกิจทั้งระดับท้องถิ่นและระดับโลกมีความสำคัญ

นักการเมืองและผู้ลงคะแนนควรเลิกพยายามค้นหาว่าสหรัฐฯ จะเล่นบทไหนในเศรษฐกิจโลก แต่ควรคิดถึงบทบาทของเมืองรัฐ และภูมิภาคของตน Houston ไม่ได้สำคัญกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ มากไปกว่า Atlanta Pittsburgh หรือ Palo Alto เศรษฐกิจของ Houston ก็เป็นของ Houston มีการค้าขายกับเมืองอื่นๆ ทั่วประเทศและกับประเทศอื่นๆ กิจกรรมเช่นนี้ดำาเนินไปกับเมืองอื่นๆ ทั่วโลกหน้าที่ของเมืองคือหาวิธีที่จะสามารถแข่งขันได้กับเมืองอื่นในสหรัฐฯ และในโลก งานของรัฐบาลกลางคือไม่เข้าไปแทรกแซง สโลแกนของ Trump คือ Make America Great Again เป็นสโลแกนที่ฉลาดและแน่นอนว่าดีกว่าของ Clinton ที่ว่า Stronger Together เป็นไหนๆ แต่ Trump กลับทำเสียเรื่องด้วยการปาก้อนหินใส่ประเทศที่ต้องการค้าขายกับอเมริกา เพราะนั่นจะไม่ทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง อันที่จริง คุณทำให้อเมริกายิ่งใหญ่ได้อีกครั้งด้วยการเป็นที่ดึงดูดยอดฝีมือ เงินทุนและผู้ที่ชอบเสี่ยงในทุกอุตสาหกรรม แล้วก็แอบไปยืนดูห่างๆ ความยิ่งใหญ่มีทางของมันเองในแต่ละเมือง แต่ละภูมิภาค Silicon Valley รู้ว่าจะยิ่งใหญ่อย่างไรและพวกเขาทำได้ที่นั่นไม่มีการออกข้อบังคับที่ยากเกินแก่การปฏิบัติ หลักๆ ก็เพราะความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นรวดเร็วกว่าที่นักกฎหมายจะตามทัน Detroit ก็เช่นกัน พวกเขารู้ว่าจะยิ่งใหญ่ได้อย่างไร แต่สินค้าของเมืองเป็นผลิตภัณฑ์ที่จับต้องได้ นักกฎหมายที่ไม่ได้ฉลาดอะไรมากมายก็รู้ว่า Detroit ขายอะไร ด้วยเหตุนี้ Detroit จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเข้าไปเจรจาเพื่อลดอุปสรรคด้านข้อกำหนดและแรงงานในแทบจะทุกขั้นตอนงานของรัฐบาลกลางคือปล่อยให้ Detroit เป็น Detroit ที่ดีที่สุดที่จะเป็นได้ เช่นเดียวกับที่ Silicon Valley ได้เป็น Silicon Valley ที่ดีที่สุด ในเมื่อปราศจากเครื่องกีดกันจากรัฐบาลกลางเมืองต่างๆ และบรรดาผู้ประกอบการจะหาทางไปได้ไม่ยาก ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจอย่างเบาช่วงกลางทศวรรษที่ 70 Seattle ได้รับผลกระทบราวกับคลื่นสึนามิตั้งแต่อุตสาหกรรมป่าไม้ไปจนถึงเครื่องบิน Boeing ท่ามกลางอัตราการว่างงานในประชากรวัยรุ่น ครอบครัวจำนวนไม่น้อยหลั่งไหลออกจากเมือง แต่ Seattle ก็ผ่านมรสุมมาได้เป็นอย่างดี ทุกวันนี้เป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของ Microsoft Amazon และ Starbucks ซึ่งล้วนแต่เพิ่งเริ่มต้นธุรกิจหลังปี 1970 เมือง Cambridge ประเทศอังกฤษ เป็นเมืองที่ชวนหลับใหลเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับสองของประเทศมหาวิทยาลัย Oxford ครองความเป็นหนึ่ง และ Cambridge ดูจะมีชนักติดหลังในเรื่องนี้ แต่ Cambridge ต่างจาก Oxford ตรงที่ผู้ประกอบการในเมืองมีโอกาสได้เติบโตในสภาพแวดล้อมของเมืองด้วยจำนวนประชากรเพียง 140,000 คน Cambridge ทุกวันนี้เป็นศูนย์กลางเครื่องจักรอัฉริยะและอุปกรณ์เพื่อการเรียนรู้ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่กำาลังมาแรง Cambridge มีอนาคตที่สดใสรออยู่ คำถามง่ายๆ ประการเดียวที่ Cambridge ต้องถามตัวเองในการทำให้อนาคตนี้เป็นจริงก็คือ ทำอย่างไรจะให้นักศึกษาที่เรียนจบเลือกทำธุรกิจต่อใน Cambridge เช่นเดียวกับที่บัณฑิตของ Stanford ทำให้กับ Silicon Valley และนักศึกษา MIT ทำให้กับ Boston คำตอบคือไม่ใช่แค่วางแผน แต่ต้องเป็นการสนับสนุนอย่างแท้จริง โดย RICH KARLGAARD ผู้พิมพ์ผู้โฆษณาของ Forbes
คลิกอ่านบทความทางธุรกิจที่น่าสนใจ ได้ที่ Forbes Thailand Magazine ฉบับ กุมภาพันธ์ 2560