AI เป็นนวัตกรรมที่พัฒนาจาก Neural Network ที่เกิดขึ้นมาในช่วงปี 1950 โดยคอมพิวเตอร์สามารถเรียนรู้และเลียนแบบการตัดสินใจของมนุษย์ผ่านตรรกะหรือกฎที่กำหนดขึ้น และมีส่วนที่ถูกนำไปพัฒนาต่อเป็น Machine Learning ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่สามารถศึกษาและจดจำแบบ (Pattern Recognition) และทำนายหรือประเมินผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้น
แต่นวัตกรรมที่กำลังจะพลิกโฉมทุกอุตสาหกรรมและควรจับตามองในขณะนี้ก็คือ Deep Learning ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Machine Learning ที่คอมพิวเตอร์สามารถฝึกฝนตัวเองได้ เช่น เทคโนโลยีใน Speech Recognition หรือ Image Recognition รวมถึง Alpha Go ซึ่งค้นคว้าโดยบริษัท DeepMind ที่อยู่ภายใต้กลุ่ม Google ที่สามารถเอาชนะแชมป์โกะระดับโลกมาแล้วในทุกสนาม
AI ได้ถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว เห็นได้จากการที่ Facebook ใช้ AI ในการแท็กรูปภาพ การเลือก news feed และการทำ Targeted Ads ตลอดจนการที่ Apple และ Microsoft ใช้ AI กับแพลตฟอร์ม Digital Assistant เช่น Siri และ Cortana รวมถึงการที่ Google ประกาศตัวในงาน Google I/O 2017 ว่า Google ได้เปลี่ยนกลยุทธ์จาก Mobile First มาเป็น AI First อีกด้วย
Alpha GO ระบบ Deep Learning ที่สามารถฝึกฝนตนเองได้ จนสามารถเอาชนะแชมป์โกะระดับโลกมาแล้วทุกสนาม (photo credit: theneweconomy.com)
การแพร่หลายอย่างรวดเร็วและโอกาสของการพัฒนาอย่างไร้ขีดจำกัดของ AI ได้สร้างความกังวลให้กับผู้บริหารชั้นนำในกลุ่มดิจิทัลอย่าง Elon Musk ซีอีโอชื่อดังของ Tesla และ Space X ที่ได้ออกมาเตือนและให้จับตาการใช้ AI ในอุตสาหกรรม โดยล่าสุดได้ร่วมกับนักธุรกิจและผู้เชี่ยวชาญ 116 รายเพื่อขอให้สหประชาชาติขัดขวางหรือแบนการผลิตและการใช้อาวุธประเภท Autonomous Weapon อีกทั้ง Musk ยังได้ร่วมก่อตั้ง OpenAI เพื่อเป็นบริษัทวิจัยที่ไม่หวังผลกำไรในการพัฒนาเทคโนโลยี AI โดยเปิดให้นักพัฒนาสามารถนำเทคโนโลยีไปสร้างประโยชน์กับผู้คนทั่วไป
นอกจากนี้ค่ายสำคัญอย่าง Amazon, Facebook, Google, IBM, Microsoft และ Apple ยังได้ร่วมจับมือเป็นพันธมิตรทางด้าน AI ในการกำหนดมาตรฐานจริยธรรม และการปฏิบัติที่ถูกต้อง ในการศึกษาค้นคว้าวิจัย และเผยแพร่ AI ในหัวข้อที่เกี่ยวข้องแก่สาธารณะอีกด้วย
จีนขับเคี่ยวเข้มข้น
ขณะเดียวกัน จีนซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเพียงที่ 2 รองจากอเมริกาในการเป็นผู้นำด้านดิจิทัลได้ผลักดัน AI อย่างหนักภายใต้การนำของ 3 บริษัทยักษ์ใหญ่ อันได้แก่ Baidu, Alibaba Group และ Tencent (หรือที่เรียกว่า “BAT”) โดยเร่งพัฒนาผู้เชี่ยวชาญและแอพพลิเคชั่นด้าน AI ไม่ว่าจะเป็น Facial Recognition จนถึงรถยนต์ไร้คนขับ ตลอดจนความพยายามช่วงชิงผู้เชี่ยวชาญ AI ชั้นนำจากทั่วโลกมาร่วมงานด้วย
Robin Li ซีอีโอของ Baidu กำลังผลักดันให้รัฐบาลจีนกำหนดให้ AI เป็นแผนยุทธศาสตร์ระดับประเทศ เพื่อให้จีนสร้างผู้เชี่ยวชาญด้าน AI เพิ่มขึ้น รวมถึงดึงตัวผู้เชี่ยวชาญ AI จากทั่วโลกมาร่วมงานกับบริษัทจีน (Photo Credit: Gilles Sabrie/wired.com)
หนังสือพิมพ์ South China Morning Post ได้กล่าวถึงรายงานการวิจัยของ PwC ซึ่งคาดว่าภายในปี 2030 AI จะช่วยเพิ่มจีดีพีทั่วโลกขึ้นอีก 14% หรือคิดเป็นมูลค่า 15.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยจะมีผลให้จีนมีจีดีพีเพิ่มขึ้น 26% และทำให้จีดีพีของอเมริกาเหนือเพิ่มขึ้น 14.5%
ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ภาคอุตสาหกรรมของจีนซึ่งนำโดย Baidu, Xiaomi และ Geely Automobile ได้ขอให้รัฐบาลจีนกำหนดให้ AI เป็นแผนยุทธศาสตร์สำคัญของประเทศ เช่นเดียวกับยุทธศาสตร์ 10 ปีอย่าง Made in China 2025 ที่ได้เกิดขึ้นมาแล้ว พร้อมทั้งขอให้ทางรัฐบาลวางกรอบข้อกำหนดระดับประเทศในการใช้ AI สำหรับธุรกิจเพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับอุตสาหกรรม โดยเชื่อมั่นว่านวัตกรรม AI จะช่วยเปิดโอกาสให้กับจีนในการขึ้นเป็นผู้นำเทคโนโลยีอย่างแท้จริงและเอาชนะคู่แข่งอย่างอเมริกา
ทุกสิ่งประดิษฐ์และเทคโนโลยีควรได้รับการนำไปใช้เพื่อประโยชน์และความสุขของผู้คนทั่วโลก นวัตกรรมหุ่นยนต์และ AI จึงควรถูกขับเคลื่อนด้วยแนวคิดและจริยธรรมที่ดีในการนำไปใช้ เป็นความรับผิดชอบที่นักบริหารและผู้เชี่ยวชาญควรคอยปกป้อง ขับเคลื่อน และปรับปรุง ให้นวัตกรรมเหล่านี้ไม่ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด
อุไรพร (พอลลี่) ชลสิริรุ่งสกุล
ที่ปรึกษาด้านดิจิทัล ทรานส์ฟอร์มเมชั่น
คลิกเพื่ออ่านฉบับเต็มของ "มนุษย์ หุ่นยนต์ และ AI" ได้ในนิตยสาร Forbes Thailand ฉบับ ธันวาคม 2560 ในรูปแบบ E-Magaizne