หนึ่งในเมกะเทรนด์ของการลงทุนยุคดิจิทัลที่กำลังมาแรงเป็นอย่างมาก คือการลงทุนในบริษัทที่ดำเนินธุรกิจศึกษาและค้นคว้าวิจัยพัฒนาเทคโนโลยี Genomics ซึ่งอาจจะมองได้ว่าเป็นการปฏิวัติวงการแพทย์ และวงการไบโอเทคโนโลยีเลยทีเดียว
Genomics เหมือนจะเป็นเรื่องยากและไกลตัว แต่ในความเป็นจริงแล้ว กลับเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวทุกคนมากกว่าที่คิด เพราะคือองค์ประกอบต่างๆ ภายในร่างกาย ซึ่งแต่ละคนมีองค์ประกอบที่แตกต่างกัน จนนำไปสู่การศึกษาเพื่อหาความผิดปกติในร่างกาย และนำมาหาวิธีการรักษาให้ตรงจุด และ มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม หรือที่เรียกว่า Precision Medicine นับเป็นการปฏิวัติวงการแพทย์ได้อย่างก้าวกระโดด อธิบายให้ง่ายอีกนิด Genomics คือ การศึกษาและค้นคว้าเกี่ยวกับ “รหัสพันธุกรรม” หรือ “ยีน” กับสภาพแวดล้อมของสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ หน้าตา สีผม สีผิว หรือแม้แต่นิสัยที่แตกต่างกันของคนเรา ล้วนมาจากยีนและสภาพแวดล้อมที่มีความแตกต่างกัน เมื่อศึกษาจนเข้าใจในรหัสพันธุกรรมแล้ว จะสามารถระบุถึงความผิดปกติในยีนของแต่ละบุคคล จากนั้นจะสามารถรับรู้ถึง ความเสี่ยงในการเกิดโรคในตัวบุคคลนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นอัลไซเมอร์ มะเร็ง เบาหวาน หรือแม้แต่ดาวน์ซินโดรม ขณะที่การรักษาในปัจจุบัน มีการใช้ยาชนิดเดียวกันในผู้ป่วยที่เป็นโรคเดียวกันค่อนข้างมาก โดยไม่ได้คำนึงถึงการตอบสนองต่อยาที่อาจแตกต่างกันของแต่ละคน เช่น แพ้ยา หรือดื้อยา ยกตัวอย่างเช่น การทำคีโมที่สามารถรักษาผู้ป่วยบางรายให้หายดีได้ แต่ก็อาจทำให้ผู้ป่วยบางรายเสียชีวิตด้วยคีโมได้เช่นกัน หากสามารถล่วงรู้ได้ก่อนก็จะเตรียมการได้อย่างถูกต้องแม่นยำขึ้น นอกจากนี้ ในปัจจุบัน ยังสามารถตรวจยีน เพื่อหาพรสวรรค์ หรือความสามารถที่ถนัดได้ แล้วด้วย ไม่ว่าจะเป็น Memory, Language, Creativity, Mathematics, Music, Sports หรือแม้แต่ Multi-tasking ซึ่งเมื่อค้นพบ อาจจะสนับสนุนในด้านที่เด่น หรือรักษาด้านที่ด้อย หรือผิดปกติได้อย่างตรงจุดและเหมาะสม โดยบริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกับ Genomics ในวันนี้ได้รับความสนใจมากขึ้น จนกลายเป็น Future MEGA TREND สำหรับธุรกิจเกี่ยวกับ Genomics ที่น่าสนใจ ได้แก่ ธุรกิจการรักษามะเร็งด้วยวิธี CAR-T Cell Therapies เป็นการนำ White Blood Cell ของผู้ป่วยออกมาเพาะเลี้ยง และทำการดัดแปลงยีน ก่อนจะฉีดกลับเข้าไปในคนไข้ ซึ่งปัจจุบันวิธีการดังกล่าวได้รับการใช้รักษาผู้ป่วยมะเร็งในระยะที่ 3 ถึงระยะที่ 4 แล้วในสหรัฐอเมริกา รวมทั้งธุรกิจการตรวจหามะเร็งจากเลือด ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีที่ใช้เตือนผู้ป่วยให้รู้ตัวได้เร็วและรีบเข้ารับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ ขณะเดียวกัน ยังมีธุรกิจการถอดรหัสพันธุกรรมเพื่อหาความผิดปกติที่มีโอกาสก่อให้เกิดโรคร้ายแรง ซึ่งวิธีการนี้ใช้เพียงน้ำลายหรือเลือดของคนเราเท่านั้น โดยตัวอย่างที่นำไปตรวจสามารถเก็บไว้ที่อุณหภูมิปกติ จึงทำให้ขนส่งได้สะดวกสบาย และธุรกิจการถอดรหัสพันธุกรรมในเด็กทารกที่ต้องอยู่ในหอผู้ป่วย เพื่อหาตำแหน่งการกลายพันธุ์ของยีนที่มีโอกาสส่งผลร้ายต่อทารกแรกเกิด ทำให้สามารถรักษาได้ทันเวลา จากพัฒนาการที่ก้าวหน้า ประกอบกับวิกฤตโควิด-19 ที่ระบาดทั่วโลก ส่งผลให้ผู้คนเห็นความสำคัญกับเรื่องสุขภาพ ผลักดันให้เกิดกระแสการลงทุนในธุรกิจเหล่านี้ชัดเจนมากขึ้น โดย ชนนพล ชนุหะชา นักลงทุนชื่อดังในวัย 27 ปี ได้แบ่งปันประสบการณ์การลงทุนในเมกะเทรนด์ดังกล่าวว่า การตัดต่อพันธุกรรมเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก เพราะนอกจากจะเป็นการปฏิวัติวงการแพทย์ ในเชิงการรักษาที่ทำให้มีความแม่นยำที่สูงขึ้นมากแล้ว ยังสามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาโรคร้ายที่ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาได้อีกด้วย รวมทั้งยังทำให้คนมีสุขภาพแข็งแรง รู้ทันโรค และสามารถป้องกันได้ทันท่วงทีก่อนจะเกิดปัญหาตามมา สิ่งนี้จึงทำให้บริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับ Genomics เนื้อหอมเป็นอย่างมาก โดยมีเหล่านักลงทุนทั่วโลกต่างเข้าไปศึกษาและค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง และในประเทศไทยเองก็สามารถลงทุนในกลุ่มธุรกิจ Biotech ได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนผ่านกองทุนที่ไทยซึ่งลงทุนในกองทุนต่างประเทศ หรือการลงทุนในกองต่างประเทศเองโดยตรง ชนนพลยังชี้ให้เห็นถึงหนึ่งในทางเลือกที่น่าสนใจอย่างการลงทุนโดยตรงในหุ้นรายตัว เพราะมีโบรกเกอร์หลายแห่งในประเทศไทยให้ บริการเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ต่างประเทศได้ด้วยตัวเอง อย่างไรก็ตาม การลงทุนมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างจากการลงทุนผ่านกองทุนรวม สำหรับข้อดีคือ ไม่ต้องเสียค่า Management Fee ให้กับกองทุน และสามารถเลือกลงทุนเฉพาะหุ้นที่ต้องการ หรือมีความมั่นใจได้เลย ส่วนข้อเสียคือ ต้องทำการค้นคว้าข้อมูล และศึกษาเกี่ยวกับบริษัทที่เลือกลงทุนด้วยตัวเอง ซึ่งใช้เวลาค่อนข้างมาก ทั้งคำศัพท์เฉพาะทางและบทวิเคราะห์มีจำนวนมาก ซึ่งส่วนตัวจะเลือกการลงทุนด้วยตัวเอง โดยอาศัยการเข้าไปดูรีพอร์ตของกองทุนระดับโลก เช่น บริษัทที่กองทุนถืออยู่ในสัดส่วนค่อนข้างสูง เพื่อนำไปค้นคว้าหาข้อมูลต่อ ซึ่งช่วยให้ระยะเวลาการหาหุ้นได้มาก นอกจากนี้ ด้านความเสี่ยงยังต้องยอมรับว่า แม้อุตสาหกรรมดังกล่าวจะดูน่าสนใจและเป็นอนาคตของมนุษยชาติ แต่เมื่อความคาดหวังสูงก็ทำให้ราคาหุ้นในหลายบริษัทมีราคาแพงขึ้นไปหลายเท่าตัวนับตั้งแต่ปี 2562 และความเสี่ยงในเรื่องการอนุมัติของ FDA ที่จะกว่าจะผ่านแต่ละเฟสไปได้นั้น เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ซึ่งถ้าหากไม่ผ่านขึ้นมา ราคาหุ้นของบริษัทอาจจะปรับตัวลงแรง ทำให้การลงทุนในกลุ่มนี้ต้องใช้ ความระมัดระวังและแบ่งสัดส่วนการลงทุนให้ดี ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งมุมมองการลงทุนในเมกะเทรนด์ที่กำลังได้รับความสนใจมากทั่วโลกในเวลานี้กัญสุชญา สุวรรณคร - รายงาน
อ่านเพิ่มเติม: ตรีชฎา เพชรรัตน์ สตาร์ทอัพไบโอเทคเปลี่ยนโลกคลิกอ่านฉบับเต็ม และบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับพิเศษประจำเดือนมิถุนายน 2564 ในรูปแบบ e-magazine