วันที่ 23-25 มิถุนายนที่ผ่านมา เวทีระดมสมองผู้หญิงระดับโลกที่ชื่อว่า “Global Summit of Women 2022” หรือ GSW 2022 ได้จัดขึ้นในไทย นับเป็นโอกาสดีในการเปิดตัวประเทศไทยหลังโควิด-19 แม้เรายังต้องอยู่กับภาวะโรคระบาดต่อไป แต่เวทีนี้ก็เป็นสัญญาณประกาศความพร้อมในการเปิดประเทศไทยได้เป็นอย่างดี
งานประชุมระดับนานาชาติของผู้หญิงเก่งในปีนี้มีผู้หญิงจากทั่วทุกมุมโลกมาร่วมงานมากกว่า 650 คน จาก 52 ประเทศ ถือเป็นงานที่รวมคนมากที่สุดหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายก็ว่าได้ บรรดาผู้หญิงแถวหน้าทั้งเจ้าของกิจการ ผู้นำองค์กร และผู้บริหารหญิงที่มาร่วมงานนี้ ตลอดจนนิสิตนักศึกษาที่ได้มีโอกาสมาร่วมงาน ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความเชื่อมั่นเบื้องต้นในการฟื้นฟูประเทศไทยหลังรัฐบาลประกาศเปิดประเทศ“Irene Natividad” ปั้น GSW สานพลังหญิง
Irene Natividad, President of the Global Summit of Women (GSW) เป็นแม่งานคนสำคัญผู้ริเริ่มงานนี้และจัดต่อเนื่องมาตลอด 32 ปี ด้วยบุคลิกที่ดูสดใสและตื่นตัวอยู่เสมอ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมสุภาพสตรีสูงวัยชาวอเมริกันเชื้อสายฟิลิปปินส์ผู้นี้จึงยืนหนึ่งในฐานะแกนหลักผู้ขับเคลื่อนเวทีแสดงศักยภาพผู้หญิงมาได้ยาวนานกว่า 3 ทศวรรษ เหตุผลหลักแน่นอนมาจากความศรัทธาที่เธอมีต่อพลังของผู้หญิง และความมั่นใจที่ว่าผู้หญิงสามารถเป็นผู้นำในการบริหารและนำกิจกรรมต่างๆ ได้ค่อนข้างดี พลังของผู้หญิงสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงและโอกาสใหม่ๆ ให้โลกได้อย่างต่อเนื่อง “ประเด็นหลักของงานในปีนี้คือ จะทำอย่างไรให้เราฟื้นโอกาสทางเศรษฐกิจให้ผู้หญิง หลังจากที่เราต้องเผชิญสถานการณ์โควิดมาอย่างต่อเนื่อง 2 ปี ในฐานะที่พวกเธอเหล่านั้นเป็นพนักงาน เป็นแรงงาน หรือแม้แต่เจ้าของกิจการ ให้ฟื้นสภาพกลับมาได้เหมือนเดิม” Irene กล่าวกับทีมงาน Forbes Thailand ก่อนวันเริ่มงานเพียงเล็กน้อย ซึ่งคำอธิบายของเธอสอดคล้องกับหัวข้อหลักของงาน GSW 2022 ที่ระบุไว้ว่า Women: Creating Opportunities in the New Reality เนื่องจากผู้หญิงมีบทบาทสำคัญไม่เฉพาะในครอบครัว แต่ในหลายองค์กรผู้หญิงมีบทบาทเป็นผู้นำ เป็นผู้บริหารหลัก และหลายคนเป็นผู้ก่อตั้งกิจการ เป็นทั้งเจ้าของและผู้บริหาร จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกวันนี้ผู้หญิงมีบทบาททัดเทียมผู้ชายในแทบทุกด้าน และภายใต้บริบทของผู้หญิงเก่งที่มีทั่วโลก Irene เน้นเป้าหมายหลักของงาน GSW คือ การนำเสนอเกี่ยวกับโอกาสใหม่ๆ ให้กับธุรกิจและผู้หญิง เพราะเชื่อว่าทุกคนได้รับผลกระทบเหมือนกันหมด โดยเธอย้ำว่า ในสถานการณ์ที่ผ่านมาไม่มีใครเป็นผู้ชนะ Irene บอกเล่าความตั้งใจของเธอกับงานที่จัดต่อเนื่องมาถึง 32 ปีว่า “พวกเราต้องการรู้ว่าจะเดินไปข้างหน้าอย่างไร จะแก้ปัญหาอย่างไร ในทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือเอกชน” นั่นคือขอบข่ายการจัดงานที่เธอทำตลอดมา ไม่ได้จำกัดเฉพาะผู้นำหญิงจากองค์กรต่างๆ เท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้นำรัฐบาลประเทศต่างๆ ที่ได้รับการเชื้อเชิญมาร่วมงาน เช่นเดียวกับไทยซึ่งนายกรัฐมนตรีไทยได้รับเชิญมาร่วมงานนี้ด้วยเช่นกัน โดยเธอย้ำว่า ภายในงานจะมีการนำเสนอแนวทางการแก้ปัญหาของประเทศต่างๆ เช่นที่เคยจัดมาแล้วที่สเปน เม็กซิโก ผู้หญิงมีบทเรียนในการปรับตัว การหาทางออกด้วยการนำองค์กรก้าวไปข้างหน้าอย่างไร ทุกคนจะมาแลกเปลี่ยนกันนำ Solution ฟื้นเศรษฐกิจ
สุภาพสตรีสูงวัยที่ทำงานเพื่อสิทธิสตรีมาเกือบตลอดชีวิต มุมมองของเธอต่อความเป็นผู้หญิงคือ ความแข็งแรงแต่นุ่มนวล พลังของผู้หญิงในความรู้สึกของเธอคือ พละกำลังที่มีความเฉพาะตัว ความแข็งแกร่งที่ไม่ใช่แข็งกระด้าง แต่ทว่าอ่อนโยนและมีพลัง Irene มักพูดย้ำว่า เธอศรัทธาในพลังของผู้หญิง และเชื่อมั่นว่าผู้หญิงทำอะไรได้หลายอย่างมากกว่าที่ใครจะคาดคิด การที่ GSW เวียนมาจัดงานใหญ่ในไทยไม่ใช่แค่ความสะดวก แต่เป็นเพราะเธอมองเห็นพลังผู้หญิงหลายอย่างในไทย “แม้ว่าคนทั่วโลกจะคิดว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความโดดเด่นในเรื่องของการท่องเที่ยว แต่ฉันอยากจะทำให้ทุกคนรู้ว่า ที่ประเทศไทยนอกเหนือจากเรื่องการท่องเที่ยวแล้ว ยังมีธุรกิจอีกมากมายที่ผู้หญิงเป็นผู้นำและประสบความสำเร็จ” ดังนั้น เพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายพลังผู้หญิงในไทยกับนานาชาติ GSW ปีนี้จึงมาจัดในเมืองไทย “เราต้องการที่จะเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อประเทศไทย ไม่ใช่แค่เมืองท่องเที่ยว แต่เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยผู้หญิงเก่ง เราจึงจัดผู้นำหญิงคนไทยขึ้นพูดในทุก session ของการเสวนา” ประธานจัดงาน GSW ย้ำถึงจุดแข็งของงานและจุดขายที่ต้องการสื่อให้ทั่วโลกได้รับรู้ เพราะงานนี้นอกจากผู้ร่วมงานกว่า 650 คนจาก 52 ประเทศแล้ว ยังมีทัพสื่อมวลชนกว่า 50 คนเข้าร่วมบันทึกประวัติศาสตร์ ประธานจัดงาน GSW ย้ำว่า การเสวนานี้จะเป็นการพบปะแบบ B to B (Business to Business) คือ หลายองค์กรมาพบเจอกัน รวมถึงผู้แทนจากสภาหอการค้าประเทศต่างๆ ได้มาเจอกัน เธอยกตัวอย่างผู้ร่วมงานจากเวียดนามว่า ประเทศสมาชิกอาเซียนแห่งนี้มีผู้หญิงที่เป็นเจ้าของกิจการ (entrepreneur) ไม่น้อยกว่า 50 คนเข้ามาร่วมประชุมในครั้งนี้ ของไทยก็มีผู้หญิงที่เป็นผู้นำธุรกิจเป็นเจ้าของกิจการมาร่วมประชุมเช่นกัน ดังนั้น การพบปะแลกเปลี่ยนย่อมนำมาซึ่งการเจรจาทางธุรกิจ โอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ “นั่นคือสิ่งที่เราต้องการ การสร้างเครือข่ายเน็ตเวิร์กทางธุรกิจที่แต่ละคนมี มาสร้างสัมพันธ์รู้จักกันแล้วก็สร้างโอกาสใหม่ให้กับธุรกิจของทุกคน” หลังจบคำอธิบายนี้ Irene ย้ำว่า “ฉันมั่นใจและภูมิใจในความสามารถของผู้หญิง ฉันทำงานเสวนาระดับโกลบอลสำหรับผู้หญิงนี้มา 32 ปี เพราะฉันมีศรัทธาและภาคภูมิใจในความเป็นผู้หญิง เชื่อมั่นในความสามารถว่าจะนำพาธุรกิจก้าวไปข้างหน้าได้” Irene กล่าวอีกหลายประโยคถึงความคาดหวังจากงานเสวนาใหญ่ครั้งนี้ก่อนจะสรุปว่า สิ่งแรกที่เธออยากจะเห็นการเปลี่ยนแปลงก็คือ การยอมรับการบริหารและการเปลี่ยนแปลงเรื่องเพศที่หลากหลายเป็นอีกเรื่องที่เธออยากผลักดัน แน่นอนว่าการเสวนานี้สิ่งที่เกิดขึ้นคือ การแลกเปลี่ยนทางธุรกิจ session B to B น่าจะสร้างเครือข่ายใหม่ๆ ในกลุ่มผู้นำหญิง แต่ที่มากไปกว่านั้น Irene บอกว่า อีกเป้าหมายที่อยากเห็นคือ การช่วยเหลือเด็กๆ ให้มีโอกาสที่ดี เป็นอีกภารกิจที่เธอทำมาอย่างต่อเนื่องเช่นกัน อ่านเพิ่มเติม: สินีนุช โกกนุทาภรณ์ ต่อยอด TEGH ผลิตยางแท่งพรีเมียมคลิกอ่านฉบับเต็มและบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนสิงหาคม 2565 ในรูปแบบ e-magazine