ก้องเกียรติ โอภาสวงการ มองหุ้นยังเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดถ้าเข้าใจ - Forbes Thailand

ก้องเกียรติ โอภาสวงการ มองหุ้นยังเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดถ้าเข้าใจ

ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทเอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (ASP) วาณิชธนากรผู้คร่ำหวอดในแวดวงตลาดเงินและตลาดทุนกว่า 30 ปี ได้เล่าประสบการณ์การลงทุนต่างประเทศ ว่า เป็นการกระจายความเสี่ยงการลงทุนเพราะมูลค่าตลาดทุนไทยมีเพียงแค่ 0.5% ของตลาดทุนโลก และปีนี้เชื่อว่าหุ้นยังเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดถ้าลงทุนอย่างเข้าใจธุรกิจเลือกธุรกิจที่ดีลงทุน และถือหุ้นระยะยาวก็มีโอกาสได้ผลตอบแทนกลับมา

พอร์ตการลงทุนโดยรวมของเขาได้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ย 12-15% ต่อปี กระจายความเสี่ยงหลายประเทศ หลายสินทรัพย์ หลายประเภทการลงทุน แม้ไม่ได้กำไรทุกสินทรัพย์ แต่ถัวเฉลี่ยแล้วให้อัตราผลตอบแทนที่ดี โดยปี 2561 ที่ผ่านมาตลาดหุ้นทั่วโลกติดลบ ดร.ก้องเกียรติขาดทุนในการลงทุนตลาดหุ้น แต่มีกำไรจากการขายสตาร์ทอัพลาลามูฟ แอปพลิเคชันผู้ให้บริการขนส่งสินค้าสัญชาติจีนที่ยังไม่มีกำไร แต่ราคาขึ้นมา 7 เท่า หัวใจสำคัญสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ คือ ต้องติดตามข่าวสารของตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเขามีหุ้นที่ติดตามอยู่ประมาณ 200 บริษัท (ไม่รวมหุ้นไทย) แต่ไม่ได้ซื้อทุกบริษัท “ช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ปี 2551-2552 หุ้น Bank of America ราคาลดลงมาเหลือ 7-8 เหรียญสหรัฐฯ ผมเข้าไปซื้อ จนตอนนี้ราคาขึ้นไป 29 เหรียญ หุ้น Louis Vuitton เมื่อ 7 ปีก่อนราคาหุ้นละ 20 ยูโร ตอนนี้ขึ้นมาถึงกว่า 100 ยูโร” ดร.ก้องเกียรติชื่นชอบหุ้นเทคโนโลยี ที่สามารถล้มกระดาน (disrupt) บริษัทอื่นได้ อย่าง Apple Inc, Facebook และ Amazon ที่ได้ดีจากการที่ห้างสรรพสินค้าอเมริกาล้มหายตายจาก โดยมีมุมมองว่าราคาหุ้น Amazon 5 ปีข้างหน้ามีโอกาสขึ้นมากกว่าลดลง หุ้นธนาคาร JP Morgan จะได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขึ้นใน 3-5 ปี ถ้าแยกเป็นประเทศเขาชอบหุ้นสหรัฐอเมริกามากที่สุด เพราะมีหุ้นที่ดีให้เลือกมากมาย แต่นักลงทุนต้องมีเงินลงทุนสูง ถ้าเป็นคนไทยต้องมีเงินเปิดบัญชี 5 ล้านเหรียญขึ้นไป คนอเมริกัน 50 ล้านเหรียญ อันดับ 2 คือหุ้นไทย เพราะใกล้ตัว และรู้จักธุรกิจในประเทศดี อันดับ 3 หุ้นฮ่องกง เพราะมีธุรกิจจีนให้เลือกซื้อมาก ทั้งธุรกิจประกัน เทคโนโลยี และธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน อันดับ 4 หุ้นยุโรป โดยมีหุ้นที่น่าลงทุน 2 กลุ่มคือ หุ้นประกันภัยประกันชีวิต หุ้นแบรนด์ดัง Louis Vuitton และมีธนาคารอังกฤษบางแห่งจ่ายปันผลและซื้อหุ้นคืนภายหลังถูกแทรกแซงช่วงวิกฤตปี 2551-2552 และอันดับ 5 เป็นหุ้นญี่ปุ่น นอกจากนั้นยังลงทุนตราสารอนุพันธ์ประเภท Fixed Coupon Note (FCN) ที่เชื่อมโยงหุ้นที่สนใจ 3 บริษัทซึ่งให้ดอกเบี้ยต่อปีสูง จ่ายดอกเบี้ยทุกเดือน ตราสารลูกผสมประเภทหุ้นกู้อนุพันธ์หรือ Equity-Linked Notes (ELN) ที่เชื่อมโยงกับหุ้นที่ชอบเพียงบริษัทเดียว สำหรับการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ เอเชียมีความน่าสนใจ รวมถึงอังกฤษจากการออกจากยุโรปของอังกฤษ (Brexit) โดยลงทุนอสังหาริมทรัพย์ที่อังกฤษมานานแล้ว และบางที่ได้ขายไปแล้วหลังจากลงทุน 3 ปี ได้กำไร 70% ในตลาดเกิดใหม่ อสังหาริมทรัพย์เวียดนามเป็นตลาดที่น่าลงทุนเพราะกำลังจะมีรถไฟฟ้า นอกจากนั้นยังกระจายความเสี่ยงไปยังทองคำ ดร.ก้องเกียรติลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศที่บริหารโดยต่างชาติอย่างกองทุนโรบอทของ Credit Suisse กองทุนตราสารหนี้จีน และลงทุนโดยตรงในกิจการนอกตลาดหลักทรัพย์ หรือ Private Equity ปี2561 เขาลงทุนในสตาร์ทอัพอิสราเอล เป็นธุรกิจระบบความปลอดภัยของข้อมูล ได้พูดคุยกับประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เจ้าของ คนก่อตั้งได้มีการพูดคุยเรื่องวิสัยทัศน์ นโยบาย และดูทีมบริหาร อย่างเช่น สตาร์ทอัพด้านความปลอดภัยระบบข้อมูลของอิสราเอลก่อตั้งมา 3 ปีมีกำไรเพิ่มขึ้นตามลำดับเจ้าของได้รับความไว้วางใจจากรัฐบาลอิสราเอลให้เป็นผู้คุมระบบไอทีนิวเคลียร์ของอิสราเอล ลูกค้าหลักคือ บริษัท Mercedes-Benz และ Novartis International AG โดยการลงทุนครั้งนี้ ดร.ก้องเกียรติถือหุ้นมากว่า 1 ปี และเพิ่มทุนเล็กน้อยเพื่อลงทุนระยะยาวด้านธุรกิจที่ปล่อยสินเชื่อบุคคลทางแอปฯ มือถือที่ยังไม่มีกำไร เป็นธุรกิจของสองพี่น้องซึ่งเขาได้พบปะพูดคุยกัน 4-5 ครั้ง พวกเขาเป็นทายาทเศรษฐีที่ดินอิสราเอล ที่มีไอคิว 160 คนพี่เป็นดอกเตอร์จบจากอังกฤษทำด้านอะตอมมา 10 ปี เคยเป็นผู้จัดการกองทุน เป็นนักจิตวิทยา ปล่อยสินเชื่อผ่านระบบมือถือที่ใช้ AI ในการวิเคราะห์ความเสี่ยงจากข้อมูลที่ลูกค้ากรอกโดยดูจากใบหน้า วิธีการพูด ดูโซเชียลมีเดีย โดยไม่มีหลักประกัน ปรากฏว่ามีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) เพียง 1% “กว่าจะเข้าไปลงทุน 1-2 บริษัทได้ ผมดูสตาร์ทอัพ นับร้อยบริษัท เพราะความเสี่ยงมหาศาล เคยถูกสตาร์ทอัพไทยโกง ดังนั้นต้องดูผู้นำ ทีมเวิร์ก วิสัยทัศน์ แนวโน้มธุรกิจ โอกาสเติบโต โอกาสทำกำไร ได้ส่วนแบ่งการตลาดรวดเร็ว สามารถล้มกระดานคนอื่น ซึ่งต้องมีเทคโนโลยีสนับสนุน อย่าง Domino Pizza ล้มกระดานได้เพราะสั่งซื้อออนไลน์ ราคาหุ้นขึ้นจาก 79 เหรียญเป็น 252 เหรียญใน 4 ปี มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดขึ้น 4 เท่า สัดส่วนราคาต่อกำไร (PE) 26 เท่า” สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนหลักทรัพย์ต่างประเทศสามารถเปิดบัญชีลงทุนกับโบรกเกอร์ในประเทศที่ให้บริการด้านนี้ อาทิ บมจ.หลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย), บล.เอเซีย พลัส, บมจ.หลักทรัพย์ภัทร, บล.ไทยพาณิชย์, บมจ.หลักทรัพย์ กสิกรไทย, บล.ซี แอล เอส เอ (ประเทศไทย), บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย), บมจ.หลักทรัพย์บัวหลวง, บล.ทิสโก้, บมจ.หลักทรัพย์ ธนชาต, บล.เคที ซีมิโก้, บมจ.หลักทรัพย์ ไอร่า, บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย), บมจ.หลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน, บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย), บมจ.หลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) บมจ.หลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส เป็นต้น   เรื่อง เจียรนัย อุตะมะ อ่านให้ครบรสกับ รายงานชุดพิเศษ Special Report OVERSEAS INVESTMENT
คลิกเพื่ออ่านบทความทางด้านการลงทุนได้ที่ Forbes Wealth Management & Investing 2019 ในรูป e-Magazine