ประวัติศาสตร์ของไร่องุ่นชั้นนำของโลกนั้นย้อนเวลากลับไปนับร้อยๆ ปี และความเป็นเลิศในการทำไวน์ที่วิวัฒนาการมาจากพื้นที่ที่มีกายภาพและภูมิอากาศอันเป็นเอกลักษณ์คือสิ่งที่ทำให้เป็นเรื่องราวอันน่าสนใจของไวน์ดำเนินต่อมาได้จวบจนทุกวันนี้ ไร่องุ่นที่ดีที่สุดในโลกตั้งอยู่ใน Cote d’ Or แห่งแคว้น Burgundy พร้อมชาโตว์ไวน์ที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดที่ทอดตัวอยู่บนปากแม่น้ำ Gironde แห่งเมือง Bordeaux ประวัติศาสตร์อันยาวนานของ Cote d’Or ยังคงสะท้อนและสร้างสรรค์ประสบการณ์และความมหัศจรรย์ที่ไม่มีใครเหมือนให้กับเหล่านักสะสมและผู้เชี่ยวชาญไวน์รวมไปถึงนักลงทุนจากทั่วโลก
การลงทุนใน
fine wine ไม่เพียงแต่จะให้ผลการตอบแทนที่ยอดเยี่ยมเท่านั้น การถือครองไวน์ชั้นสูงยิ่งนานเท่าไหร่ ผลตอบแทนก็จะยิ่งต่อเนื่องเท่านั้น การลงทุนเป็นจำนวนมากใดๆ ก็ตาม จะต้องได้รับประโยชน์จากลักษณะของอุปสงค์และอุปทานที่เหมาะสม และในกรณีของ fine wine ลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างอุปสงค์และอุปทานที่ว่า มักจะได้รับแรงขับเคลื่อนมาจากปัจจัยดังต่อไปนี้
1. การบริโภค เพิ่มความหายากของไวน์อันนำไปสู่การถีบตัวขึ้นของราคา เมื่อคลังไวน์ถูกเอาออกจากตลาดโดยไม่มีของมาทดแทนนักลงทุนจำนวนมากมองหาไวน์หายากที่มีจำนวนลดลงเรื่อยๆ
2. ความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากทั่วโลก ในปี 2016 จีนนำเข้าไวน์มูลค่ารวมกว่า 2.4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมีอัตราการเพิ่มขึ้นของปริมาณนำเข้าอยู่ที่ 16%
3. การเติบโตของไวน์ นักสะสมและผู้บริโภครอให้ไวน์มีอายุที่เพิ่มมากขึ้นซึ่งจะทำให้ไวน์เป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้น
ด้วยรูปแบบการลงทุนที่ดีที่สุด ส่วนใหญ่นักลงทุนจะได้รับการแนะนำให้ถือครองไวน์ไว้เป็นเวลาต่ำสุด 5 ปี โดยระยะเวลาสูงสุดจะอยู่ที่ 10 ปี ตามหลักการพื้นฐานดังที่กล่าวไป เส้นกราฟ 10 ปีแสดงให้เห็นว่า fine wine ไม่เคยมีผลตอบแทนเป็นลบเลยตลอดระยะเวลาการถือครอง 10 ปี โดย
มีค่าเฉลี่ยการเติบโตอยู่ที่ 12.3% และมีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานอยู่ที่ 3.6% ซึ่งเน้นย้ำให้เห็นถึงความผันผวนหรือความเสี่ยงในการลงทุน (volatility) ที่ต่ำกว่า เมื่อเทียบกับการลงทุนประเภทอื่น
เมื่อ 10 ที่แล้ว พอร์ตโฟลิโอ fine wine ทั้งหมด จะมุ่งความสนใจไปที่
Bordeaux (90%) และ
Burgundy (10%) แต่เนื่องด้วยพัฒนาการทางด้านเกษตรกรรมและเทคโนโลยีที่ก้าวไกลขึ้น รวมไปถึงการรับรู้และให้คุณค่า fine wine ที่เพิ่มมากขึ้น ตลาดจึงมีการขยับขยายกว้างขึ้นกว่าเมื่อก่อน ในขณะที่เรากำลังถกเถียงถึงองค์ประกอบของพอร์ตโฟลิโอทั่วไปที่ให้ความสำคัญกับไวน์จาก 2 แคว้นนี้ยังมีสัดส่วนอีก 30% ที่ประกอบไปด้วยไวน์จาก
Champagne, Tuscany และ
Piedmonte รวมไปถึงไวน์จากโลกใหม่ หรือ new world wine อย่าง
Napa Valley แห่ง California ในลักษณะคล้ายๆ กับนักลงทุนที่มีความระแวดระวังในเรื่องของความเสี่ยงเมื่อพวกเขาเข้าลงทุนในตลาดหุ้น แต่คำแนะนำที่ดีก็คือให้ความสำคัญกับความหลากหลายในตลาดไวน์เพื่อการจัดการความเสี่ยงโดยรวมและการสร้างพอร์ตโฟลิโอที่มีความยืดหยุ่นต่อผลตอบแทนของตลาดและสภาพคล่อง
fine wine ได้รับการยอมรับด้วยภาพลักษณ์และมูลค่าทางการตลาดแบบเดียวกับรถยนต์คลาสสิกและงานศิลปะที่เติบโตอย่างรวดเร็วและได้รับความนิยมสูงในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อาจกล่าวได้ว่าตลาด fine wine จัดว่าเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับนักลงทุนที่มองหาตลาดการลงทุนทางเลือก ซึ่งข้อมูลของดัชนีการลงทุนที่จัดทำโดย
Knight Frank หรือ
Knight Frank Luxury Investment Index ได้แสดงให้เห็นว่าตลาด fine wine มีอัตราของผลตอบแทนอยู่ที่ 267% ตลอดระยะเวลา 10 ปี โดยแพ้เพียงแค่รถยนต์คลาสสิกที่มีตัวเลขสูงถึง 457% สิ่งที่ทำให้ fine wine แตกต่างจากสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงในหมวดหมู่เดียวกันอย่างรถยนต์คลาสสิก เหรียญกษาปณ์เครื่องประดับ และงานศิลปะ คือมันมีกำแพงที่ป้องกันการเข้าถึงที่ต่ำกว่าสินทรัพย์ชนิดอื่น
จากความหลากหลายของสินทรัพย์นับตั้งแต่
Brunellos สัญชาติอิตาเลียน
Pinot จาก Burgundy หรือ
Carbernet จาก Napa Valley และ Bordeaux ในส่วนของงานศิลปะ การที่ผู้ลงทุนต้องการขายงานของศิลปินระดับบรมครูเพื่อเอากำไรนั้นยากกว่าการขาย
Mouton ’82 ในตำนานบน Liv-ex เสียอีก ยิ่งไปกว่านั้นจำนวนเงินเพื่อการเข้าสู่การลงทุนในตลาดไวน์ยังเป็นจำนวนที่ต่ำมาก โดย
Cult Wines บริษัทสัญชาติอังกฤษ ที่บริหารการลงทุนใน fine wine ให้คำแนะนำว่าจุดเริ่มต้น ของการลงทุนโดยทั่วไปควรอยู่ที่ 50,000 ปอนด์เป็นอย่างต่ำเพื่อสร้างพอร์ตโฟลิโอที่มีความหลากหลายอย่างเหมาะสม โดยลงทุนในไวน์จากภูมิภาคหลักๆ ที่ได้กล่าวถึงไปข้างต้น ดังนั้นเพื่อเน้นย้ำถึงประเด็นนี้ เมื่อพิจารณาดัชนีการลงทุนของ Knight Frank ที่แบ่งออกเป็นสินทรัพย์ที่ถูกเลือก (selected asset) พบว่า fine wine ยึดไป 6 ตำแหน่งจากทั้งหมด 15 โดยรถยนต์คลาสสิกและงานศิลปะได้ไปเพียงอย่างละ 3 ตำแหน่งเท่านั้น
มุมมองต่อตลาด fine wine ในปัจจุบันปี 2016
ดัชนีตลาดไวน์หลักทั้ง 5 ตลาดมีการเติบโตมากกว่า 20% โดยมี
Bordeaux First Growth index FW 50 นำมาที่ 26%+ในขณะที่แนวโน้มของตลาดในปี 2017 ก็เป็นไปในทิศทางบวกเช่นเดียวกัน ความสนใจใน Bordeaux ยังเพิ่มมากขึ้นในช่วง 2 ปีหลังโดยมีไวน์จากปีผลิตคุณภาพสูงอย่าง 2015/2016 เป็นตัวช่วย ความสนใจใน fine wine ได้รับการกระตุ้นท่ามกลางความอ่อนแอของเงินปอนด์และยูโร ที่เกี่ยวเนื่องกับดอลลาร์ฮ่องกงและสหรัฐฯ Bordeaux ยังคงกินสัดส่วนที่ใหญ่ที่สุดในตลาด fine wine ด้วยอัตราการซื้อขายต่อปีที่สูงที่สุด ดังนั้นการที่ Bordeaux จะกลับมาเป็นที่นิยมอีก จึงเป็นเรื่องสำคัญต่อความแข็งแรงของตลาดปี 2017 คือปีที่ตลาดที่ผูกขาดกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อยู่ในสถานะที่แข็งแกร่ง ด้วยอัตราส่วนที่เหนือกว่าเงินปอนด์และยูโรอยู่ 10% สภาพการณ์ดังกล่าวอาจทำหน้าที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้กับอุปสงค์ในภูมิภาคเอเชีย
นอกจากนั้นยังมีความคาดหวังที่สูงขึ้นมากต่อแคมเปญ En Primeur (อองพรีเมอ) ล่าสุดจาก Bordeaux และหากการคาดการณ์ที่มีต่อไวน์ปีผลิตชั้นเยี่ยมนี้เป็นเรื่องจริง ก็อาจส่งผลต่อความสนใจใน En Primeur จากผู้ซื้อทั่วโลกที่เพิ่มมากขึ้นการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ “wine futures” หรือที่เรียกกันว่า En Primeur อาจเป็นแนวทางการลงทุน fine wine ที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด En Primeur จัดว่าเป็นโครงสร้างการซื้อขายไวน์อันเป็นเอกลักษณ์ของ Bordeaux โดยเป็นการหยิบยื่นโอกาสให้นักลงทุนและผู้บริโภคซื้อไวน์ก่อนปีการบรรจุขวด Cult Wines ได้รวบรวมข้อมูลของไวน์ En Primeur ที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดจากปีผลิตดังกล่าว รวมไปถึงราคาในปัจจุบันหลังจากบรรจุขวดแล้วไว้ในตารางด้านล่างนี้
กล่าวโดยสรุป ก็คงเป็นที่แน่ชัดว่า fine wine มีทั้งความโรแมนติก เป็นที่ต้องการ และยังเป็นสิ่งที่ผู้ลงทุนสามารถสนุกไปกับมันได้ แต่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นชัดเจนคือตลาดการลงทุน fine wine ได้พิสูจน์ให้เห็นหลายต่อหลายครั้งว่ามันไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องมือในการสร้างความหลากหลายให้กับพอร์ตการลงทุนอีกต่อไป แต่ควรถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตโฟลิโอของการลงทุนอย่างจริงจังหากจัดการอย่างถูกต้อง พร้อมกับมีที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญและมากประสบการณ์อยู่ข้างกายพร้อมไวน์สักแก้วในมือ ตลาดนี้จะทำให้คุณทั้งสนุกและมีความสุขอย่างที่ไม่มีการลงทุนใดทำได้…หมดแก้ว!