Business Model ที่ผมตามหาในครึ่งปีหลัง
จากประสบการณ์ในการเทรดที่ผ่านมาตลอด 10 ปี กราฟและงบเป็นเรื่องสำคัญที่ปฎิเสธไม่ได้ครับ แต่เวลาจะใส่เงินลงทุนให้หนักหน่อย ผมว่าการอ่าน Business Model เป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้เลย
Business Model เป็นเรื่องที่อยู่รอบตัวครับ มันคือบทสรุปวิธีการทำเงินของบริษัท ผมยกตัวอย่างสิ่งที่ใกล้ตัวเรามากที่สุดเรื่องนึงคือโมเดลของร้านอาหารเคยสงสัยมั้ยครับว่า ร้านค้าที่ให้จ่ายเงินก่อนซื้ออาหารกับร้านที่ต้องเรียกเช็คบิลหลังทานอาหารเสร็จมันต่างกันยังไง มองผ่านๆ เราอาจคิดว่ามันเหมือนๆกันครับ แต่จริงๆแล้วมีอะไรต่างกันในรายละเอียดพอสมควร
ร้านอาหารที่จ่ายก่อนกินมักจะเป็นอาหาร fast food ซะมากครับ ธุรกิจแบบนี้ไม่เน้น Bill ต่อหัว แต่จะเน้น Volume ของคนในการเข้าออกมากกว่า สถานที่เลยต้องกว้างแต่ไม่ได้นั่งสบายมากนักเพื่อให้คนกินนั่งไม่นานมาก เพราะร้านจะต้องเน้นยอดขายการจำนวนลูกค้าที่เข้าร้าน ข้อดีของโมเดลแบบนี้คือต้นทุนในการบริหารต่ำครับ ไม่ต้องมีคนคอยไปรับออเดอร์ตามโต๊ะ
แต่ร้านที่เก็บเงินที่หลังก็มีข้อดีเหมือนกัน เพราะร้านเหล่านี้ต้องการให้ลูกค้าใช้เวลาในร้านนานๆ เนื่องจากอาหารมีราคาพรีเมียมกว่า ยิ่งลูกค้าอยู่นานยิ่งสั่งเยอะ เพราะไม่เห็นจำนวนเงินทั้งหมดเลยรู้สึกว่าไม่แพง ต่างกับการที่ลูกค้าจ่ายก่อนกินจะรู้สึกทันทีว่าตัวเองจ่ายเยอะ เพราะฉะนั้นลูกค้าที่เข้ามานั่งในร้านจะมีโอกาสจ่ายเกินงบที่ตั้งไว้เป็นปกติ แต่นี่คือก็คือสิ่งที่โมเดลทางธุรกิจได้วางไว้แล้วเรียบร้อย เพราะเค้าเน้นยอดบิลต่อหัว มากกว่าจำนวนคนที่เข้าร้าน
ลองคิดดูครับว่าแค่เรื่องการจ่ายก่อนกินหรือกินก่อนจ่ายยังมีความต่างในการทำเงินขนาดนี้ แล้วบริษัทจดทะเบียนจะขนาดไหน ส่วนตัวผมเองบริษัทที่ผมตามหาในช่วงครึ่งปีหลังเพื่อการ “ลงทุน” ต้องมีโมเดลการหาเงินอย่างน้อยสองรูปแบบต่อไปนี้
1. ธุรกิจที่รับรายได้เป็นเงินสด
เท่าที่สัมผัสได้ในช่วงครึ่งปี 2018 ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าธุรกิจล้วนแล้วแต่มีความไม่แน่นอนครับ เศรษฐกิจที่ทรงๆ ไปเรื่อย ทำให้เกิดโอกาสหนี้สูญได้มาก เพราะฉะนั้นอะไรก็ตามที่จ่ายเงินก่อนรับบริการ ผมถือว่าเป็นการ Play safe ที่สุดในการทำธุรกิจอย่างนึงเลย อะไรจะเกิดขึ้นก็ไม่รู้ครับ เอาเงินสดมาวางไว้ก่อนอุ่นใจกว่ากันเยอะ
2. ธุรกิจที่สามารถ Scale ได้ด้วยตัวมันเอง
ถ้าผ่านข้อแรกไปแล้วถือว่าเป็นธุรกิจที่ซื้อไว้กินปันผลอุ่นใจดีครับ แต่ถ้าจะหวัง capital gain ด้วย การสเกลของบริษัทเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้เลย เปรียบเทียบให้เห็นชัดๆ ลองนึกถึงบริษัท Netflix กับ Disney
ทั้งคู่เป็นบริษัทที่ทำเงินจากการ entertain คนครับ แต่ตัวนึงเอาคอนเทนต์วิ่งไปหาคน ส่วนอีกตัวคนต้องวิ่งไปหาคอนเทนต์แทน ลองคิดดูว่าครับว่าการส่งสินค้าไปถึงผู้บริโภคในปัจจุบันที่เป็น individualism มากขึ้น มันควรจะเป็นแบบไหนมากกว่ากัน
กลับมายกตัวอย่างเรื่องกิน (อีกแล้ว) คิดว่าวันนี้ร้านอาหารร้านนึงที่ตั้งตะหง่านในห้าง กับอีกร้านนึงที่รับออเดอร์จาก Line man ด้วย บริษัทไหนน่าจะรายได้โตไวกว่ากัน ถ้าคนไม่มากินอาหาร อาหารต้องวิ่งไปหาคนเอง
นี่แหละธุรกิจในปัจจุบัน !!
ครึ่งปีหลังของปี 2018 ผมเชื่อว่ายังคงมีความผันผวนไม่ต่างกับครึ่งปีแรก อย่างไรก็ดีการที่ตลาดหุ้น correction ลงมาแรงๆ ถือเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าซื้อครับ มันอยู่ที่ว่าเราตีมูลค่าของสิ่งของเหล่านั้นได้ดีแค่ไหนมากกว่า บริษัทคือ Asset ที่มีมูลค่า ยิ่งมีการวางโครงสร้างธุรกิจที่ดีรายได้โตแบบสม่ำเสมอโดยไม่สนสภาพเศรษฐกิจแล้ว ไม่ต่างกับการซื้อ Porches ในราคา Discount ครับ