หุ้นยุโรป..ถ้าเลือกให้ดี ยังไปได้อีกไกล
หลังจากเกิดแรงเทขายในสินทรัพย์ทุกประเภททั่วโลก หรือ Global Market Sell-off เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นราคาหุ้น พันธบัตร หรือน้ำมัน ล้วนติดลบกันถ้วนหน้า ในช่วงสั้นๆ ที่มาพร้อมกับการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ไปที่จุดสูงสุดในรอบหลายปีเข้าใกล้ 3% และความผันผวนของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่วัดด้วยดัชนี VIX (Volatility Index) วิ่งขึ้นแตะระดับ 34% จากค่าเฉลี่ยปีที่แล้วที่อยู่เพียง 11%
ในช่วงเวลาเดียวกัน ตลาดหุ้นหลักๆ ในภูมิภาคเอเชีย เช่น ดัชนี Nikkei 225 ของหุ้นญี่ปุ่นร่วงลงกว่า 8% และดัชนี HSCEI ของหุ้นจีนในตลาดฮ่องกง ดิ่งลงกว่า 12% ในขณะที่ดัชนี MSCI Europe ตลาดหุ้นยุโรปกลับลดลงเพียงประมาณ 5% ด้วยพื้นฐานเศรษฐกิจที่กำลังส่งสัญญาณฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งและกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่ยังขยายตัว ช่วยประคองให้นักลงทุนที่ถือหุ้นยุโรปไว้ไม่บาดเจ็บมาก
ความกังวลของนักลงทุนที่จับตาหุ้นยุโรปคงหนีไม่พ้นเรื่องความไม่แน่นอนทางการเมืองและการแข็งค่าของเงินยูโร ซึ่งประเด็นความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่จะกระทบเสถียรภาพการอยู่ร่วมกันของสหภาพยุโรปดูจะไม่น่าเป็นห่วงสำหรับปีนี้ แต่แนวโน้มการแข็งค่าของเงินยูโรน่าดูจะต่อเนื่อง โดยในเวลาเพียง 8 สัปดาห์ตั้งแต่ต้นปี เงินยูโรแข็งค่าไปแล้วกว่า 1.9% เทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ
ดังนั้น นักลงทุนควรแสวงหากลยุทธ์ที่จะได้ประโยชน์จากการฟื้นและขยายตัวของเศรษฐกิจยุโรป ขณะเดียวกันก็ลดผลกระทบจากแรงกดดันของค่าเงิน โดยหลีกเลี่ยงหุ้นกลุ่มส่งออกที่พึ่งพารายได้จากต่างประเทศซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่และหันมาโฟกัสที่หุ้นของบริษัทขนาดเล็ก (Small Cap หรือ Small Market Capitalization คือบริษัทที่มีมูลค่าตลาดระหว่าง 300-2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ ประมาณ 9,000-66,000 ล้านบาท) เพราะรายได้และกำไรไม่ขึ้นกับการค้าต่างประเทศที่มักจะเสียเปรียบเมื่อเงินยูโรแข็งค่า
นอกจากนี้ธุรกิจของบริษัทขนาดเล็กมักเน้นไปที่การบริโภคในประเทศซึ่งจะได้รับอานิสงส์โดยตรงจากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นทั้งจากเศรษฐกิจที่เติบโตดีและค่าเงินที่แข็งค่า โดยในสภาวะที่เศรษฐกิจฟื้นตัวต่อเนื่องได้ดี กำไรของบริษัทขนาดเล็กจะขยายตัวอย่างก้าวกระโดด นอกจากนี้ อีกหนึ่งเสน่ห์ของหุ้นของบริษัทยุโรปขนาดเล็กคือ โอกาสการควบรวมกิจการ เพราะบริษัทขนาดเล็กมักเป็นเป้าหมายของบริษัทขนาดใหญ่ที่แสวงหา Know-How หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ อยู่เสมอ และส่วนใหญ่การเข้าครอบครองหรือควบรวมกิจการมักมีการจ่ายราคาที่สูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง ณ ปัจจุบัน ส่งผลให้ราคาหุ้นบริษัทเป้าหมายสูงขึ้น
นอกจากนี้หุ้นของบริษัทขนาดเล็กมักถูกมองข้ามจากนักลงทุนเพราะมีจำนวนนักวิเคราะห์คอยติดตามผลประกอบการและประเมินมูลค่าน้อยกว่าหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ นักลงทุนจึงขาดข้อมูลและบทวิเคราะห์ที่ดี ดังนั้น บ่อยครั้งที่ราคาตลาดของหุ้นบริษัทขนาดเล็กต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนเริ่มให้ความสนใจหุ้นกลุ่มนี้มากขึ้นหลังการประกาศผลประกอบการดีติดต่อกันหลายไตรมาสและราคาหุ้นกลุ่มบริษัทขนาดเล็กปรับสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยจากสถิติในรอบ 5 ปี หุ้นของบริษัทขนาดเล็กในยุโรป (MSCI Europe Small Cap Index) สร้างผลตอบแทนสูงกว่าหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ในยุโรป (MSCI Europe Index) ได้ถึง 44% จะเห็นได้ว่าการยึดติดกับการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่หรือชื่อบริษัทที่คุ้นเคยอาจไม่ตอบโจทย์การลงทุนในสภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป
ด้านปัจจัยพื้นฐาน แม้ราคาจะปรับขึ้นแต่กำไรก็ปรับขึ้นตามเช่นกัน การคาดการณ์อัตราการเติบโตของกำไรหุ้นบริษัทยุโรปขนาดเล็ก (MSCI Europe Small Cap Index) ยังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับหุ้นบริษัทยุโรปขนาดใหญ่ (MSCI Europe Index) และจากการรวบรวมผลการคาดการณ์พบว่านักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่ากำไรหุ้นบริษัทขนาดเล็กจะเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 13-15% ต่อปี ในปี 2018 และ 2019 เทียบกับ 7-8% สำหรับหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ (ที่มา Bloomberg) ดังนั้น หุ้นบริษัทยุโรปขนาดเล็กจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของการลงทุนที่ไม่ควรมองข้าม โดยควรเลือกลงทุนผ่านกองทุนรวมที่มีทีมงานมืออาชีพคอยคัดสรรบริษัท ติดตามมูลค่าหุ้น ควบคุมความเสี่ยง และปรับพอร์ตอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสร้างผลตอบแทนให้เพิกพูนในระยะยาว