ประเมินแรงขายของนักลงทุนต่างชาติน่าจะเริ่มซาลงและตลาดหุ้นไทยน่าจะเริ่มยืนได้ในช่วงนี้ - Forbes Thailand

ประเมินแรงขายของนักลงทุนต่างชาติน่าจะเริ่มซาลงและตลาดหุ้นไทยน่าจะเริ่มยืนได้ในช่วงนี้

นับตั้งแต่ ตุลาคมปีที่แล้ว นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยไปแล้วรวม 2.4 แสนล้านบาท ซึ่งนับเป็นนับเป็นปริมาณการขายที่สูงมากเมื่อเทียบกับในอดีต แต่เราตั้งข้อสังเกตว่าตลาดหุ้นไทยในช่วงหลังนั้นสามารถทนต่อแรงขายของนักลงทุนต่างชาติได้มากกว่าในอดีต โดยในรอบนี้ดัชนี SET Index ปรับตัวลดลงมาราว 11% จากจุดสูงสุดในเดือน มกราคมซึ่งนับว่ายังลงน้อยกว่ารอบอื่นๆ ที่นักลงทุนต่างชาติมีการขายในปริมาณใกล้เคียงกัน เช่น ในช่วงที่ตลาดกังวลต่อการยุติ QE ของ Fed (Taper Tantrum) ในปี 2013 ที่นักลงทุนต่างชาติมีการเทขายหุ้นไทยไปรวม 2.5 แสนล้านบาท ซึ่งส่งผลให้ SET Index ปรับตัวลดลง 25%

โดยเราประเมินว่าสาเหตุที่ตลาดหุ้นไทยสามารถทนต่อแรงขายจากต่างชาติได้มากกว่าในอดีตนั้น เป็นผลมาจากดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดตั้งแต่ปี 2015 ตามการเพิ่มขึ้นของรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ และการลดลงของราคาน้ำมันในตลาดโลก ซึ่งช่วยชดเชยสภาพคล่องในประเทศและบรรเทาผลกระทบจากเงินทุนไหลออกในช่วงหลัง

เรามองว่าดุลบัญชีเดินสะพัดของไทย แม้จะมีแนวโน้มลดลงบ้างตามราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น แต่ก็ยังน่าจะยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงต่อไป รายงานดุลการค้าของกระทรวงพาณิชย์เดือน พฤษภาคม ซึ่งเห็นตัวเลขพลิกกลับมาเกินดุล 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หลังจากที่ขาดดุลในเดือนก่อน ก็น่าจะยืนยันถึงแนวโน้มการส่งออก และดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยที่ยังสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านอยู่มาก

นอกจากนั้น เศษฐกิจไทยยังเริ่มกลับมาขยายตัวในวงกว้างมากขึ้น โดยดัชนีรายได้เกษตรกรได้กลับมาขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 หลังจากที่หดตัวต่อเนื่องมาตั้งแต่ กรกฎาคม 2017 น่าจะช่วยส่งเสริมการฟื้นตัวของการบริโภคในประเทศซึ่งจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ท่ามกลางความเสี่ยงจากสงครามการค้าโลกต่อไป

เราประเมินว่าเสถียรภาพของเศรษฐกิจไทยที่ยังดีและโดดเด่นกว่าประเทศในตลาดเกิดใหม่อื่นๆ รวมถึงการเติบโตของการบริโภคในประเทศที่มีแนวโน้มสดใสขึ้น น่าจะทำให้นักลงทุนต่างชาติเริ่มชะลอการขายหุ้นไทย และน่าจะทำให้ตลาดหุ้นไทยเริ่มยืนได้ในช่วงนี้