ตลาดมีความเสี่ยงปรับฐาน แนะนำนักลงทุนถือเงินสดบางส่วนเพื่อลดความเสี่ยง
ร่างกฎหมายประกันสุขภาพ American Healthcare Act ซึ่งถูกเสนอเพื่อใช้แทนกฎหมาย Obamacare ไม่สามารถผ่านสภาได้เนื่องจากมีเสียงสนับสนุนไม่เพียงพอ แม้ว่าพรรค Republican จะครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนฯ (237 เสียง จากทั้งหมด 430 เสียง) เนื่องจาก ส.ส. พรรค Republican จำนวนประมาณ 40 เสียง ซึ่งรวมตัวกันเป็นกลุ่ม Freedom Caucus ซึ่งเป็นกลุ่มอนุรักษ์นิยมคัดค้านกฎหมายดังกล่าว
การยกเลิก Obamacare ถือเป็นหนึ่งในนโยบายหลักในการหาเสียงของประธานาธิบดี Donald Trump ซึ่งความล้มเหลวของร่างกฎหมายดังกล่าวทำให้ตลาดเริ่มกังวลต่อความสามารถของเขาในการผลักดันนโยบายเศรษฐกิจด้านอื่นๆ เช่น การลดภาษี และการลงทุนภาครัฐฯ ให้สำเร็จได้ตามที่หาเสียงไว้
นอกจากนี้ความล้มเหลวของร่างกฎหมายประกันสุขภาพใหม่ยังอาจส่งผลกระทบด้านงบประมาณและทำให้แผนการลดภาษีมีโอกาสผ่านสภาลดลง เนื่องจากการยกเลิก Obamacare ถือเป็นขั้นตอนแรกในการลดค่าใช้จ่ายของภาครัฐ ซึ่งจะปูทางไปสู่การลดภาษี โดยการยกเลิก Obamacare คาดว่าจะทำให้รัฐบาลประหยัดค่าใช้จ่ายได้ราว 1.5 - 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วง 10 ปีข้างหน้า และช่วยชดเชยผลกระทบต่องบประมาณที่จะเกิดขึ้นจากการลดภาษี
เราประเมินว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของประธานาธิบดี Trump เช่น การลดภาษีและลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน มีความเสี่ยงที่จะล่าช้าหรือมีขนาดเล็กกว่าที่ตลาดคาด ซึ่งอาจเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นที่ปรับเพิ่มขึ้นมามากจากความคาดหวังต่อนโยบายดังกล่าว
นอกจากนี้ ดัชนีชี้ความเสี่ยงเชิงนโยบาย (Global Policy Uncertainty Index) ยังพุ่งสูงขึ้นทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สะท้อนถึงความเสี่ยงทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ซึ่งได้แก่ ความเสี่ยงจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ เช่น การผลักดันภาษี Border Adjustment Tax และความเสี่ยงจากการเลือกตั้งในฝรั่งเศสและเยอรมนี รวมไปถึงความเสี่ยงจากการเจรจา Brexit ซึ่งเพิ่งจะเริ่มต้นกระบวนการอย่างเป็นทางการในช่วงปลายเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา
แม้ตลาดหุ้นจะไม่ได้มีการปรับฐานอย่างมีนัยสำคัญในช่วงที่ผ่านมา แต่การซื้อขายในตลาดการเงินอื่นๆ เริ่มส่งสัญญาณถึงความกังวลต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และความเสี่ยงเชิงนโยบายที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่น ในตลาดซื้อขายล่วงหน้า รายงานสถานะการลงทุนของนักเก็งกำไร (CFTC Commitment of Traders Report) ชี้ว่านักลงทุนในกลุ่ม Hedge Funds ได้ทำการปิด Short Position ในพันธบัตรระยะยาวของสหรัฐฯ (US 10 Years Treasury) ไปเกือบทั้งหมดในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา โดยก่อนหน้านี้นักลงทุนกลุ่ม Hedge Funds ได้เริ่มเปิดสถานะ Short พันธบัตรสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่องสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ภายหลังจากที่นาย Trump ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือน พ.ย.ซึ่งการ Short (ขายล่วงหน้า) พันธบัตรระยะยาว สะท้อนถึงมุมมองเชิงบวกจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของนาย Trump เช่น การลดภาษีและการเพิ่มการลงทุนภาครัฐ ซึ่งจะกระตุ้นเงินเฟ้อในอนาคตและทำให้ Bond Yield ในสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น
ดังนั้นการทยอยปิดสถานะ Short พันธบัตรสหรัฐฯ ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาจึงชี้ว่านักลงทุนในกลุ่มนี้เริ่มไม่มั่นใจต่อนโยบายของนาย Trump และแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ นอกจากนี้นักลงทุนในกลุ่ม Hedge Funds ยังมีการเพิ่มสถานะ Long ในสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำและค่าเงินเยนตั้งแต่กลางเดือน มี.ค. ซึ่งสะท้อนถึงมุมมองการลงทุนที่ระมัดระวังมากขึ้นอีกด้วย
ความไม่แน่นอนเชิงนโยบาย และความเสี่ยงการเมืองจากทั่วโลก ประกอบกับสัญญาณการซื้อขายจากตลาดตราสารหนี้และตลาดซื้อขายล่วงหน้าทำให้เราคาดว่าตลาดหุ้นมีความเสี่ยงที่จะปรับฐานในช่วงนี้ และแนะนำให้นักลงทุนถือเงินสดบางส่วนเพื่อลดความเสี่ยง