การปรับฐานกลุ่ม "Growth Stock" เป็นจังหวะกลับเข้าลงทุนแล้วหรือยัง? - Forbes Thailand

การปรับฐานกลุ่ม "Growth Stock" เป็นจังหวะกลับเข้าลงทุนแล้วหรือยัง?

ดัชนี NASDAQ  ซึ่งเป็นตัวแทนของหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี และ Growth Stock  ได้ทำจุดสูงสุดในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2021 และปรับฐานลงมาต่อเนื่อง (ข้อมูลเขียน ณ วันที่ 11 มี.ค. 2021) ภายหลังการปรับเพิ่มขึ้นของ Yield ในตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อย่างรวดเร็ว นำไปสู่การ Re-allocation  หุ้นในพอร์ตลงทุนของผู้จัดการกองทุนทั่วโลก

หลังจาก นักลงทุนเชื่อว่าการฉีดวัคซีนสหรัฐฯ ที่เร็วกว่าที่คาด จะนำไปสู่การปลดล็อกให้กับภาคธุรกิจต่างๆ ที่เคยได้รับผลกระทบ ประกอบกับการผ่านงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ที่มีเม็ดเงินสูงถึง 1.9 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ของประธานาธิบดีไบเดน อาจนำไปสู่เศรษฐกิจร้อนแรงมากเกินไปและการเร่งขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ และท้ายสุดธนาคารกลางสหรัฐฯ จะขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้นกว่าเดิม แต่จริงๆ แล้วหากไปประเมินในรายละเอียด ผู้เขียนเชื่อว่าการเร่งขึ้นของเงินเฟ้อในสหรัฐฯ จะเป็นชั่วคราว จากการปรับเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าบริการในบางกลุ่มที่ได้รับผลกระทบในช่วงโรคระบาด   ดังนั้นการปรับฐานในหุ้นกลุ่ม Growth Stock ในครั้งนี้ไม่ใช่ Crisis แต่เป็นการเปลี่ยนกลุ่มลงทุนของผู้จัดการกองทุนชั่วคราว และการขายทำกำไรเท่านั้น   นักลงทุนกลับเข้าลงทุนในกลุ่ม “Opening Economy” เราควรเพิ่มน้ำหนักลงทุน ? ผู้เขียนได้เห็นการเร่งกลับเข้าลงทุนในหุ้น กลุ่มพลังงาน สถาบันการเงิน ค้าปลีก และสายการบิน  หรือเรียกว่ากลุ่ม “Opening Economy” และเกิดการขายทำกำไรในกลุ่มอื่นๆ โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีที่ถือว่าปรับตัวขึ้นได้ดีในปี 2020 คำถามคือการลงทุนในกลุ่ม “Opening Economy" จะเป็นเพียงชั่วคราว และ ยั่งยืนหรือไม่  หากกลับไปที่ปัจจัยพื้นฐานประเมินว่างบการเงินของกลุ่มดังกล่าวน่าจะเริ่มทยอยดีขึ้นต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี 2021 จากเหตุผลหลักคือ 1.  ฐานกำไรปีที่แล้วต่ำมาก 2. การฟื้นตัวจากความต้องการใช้สินค้า และ บริการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว (Pent up Demand)  แต่สิ่งที่ต้องติดตาม คือ พฤติกรรมของการใช้สินค้าและบริการจะเปลี่ยนไปมากน้อยเพียงใด ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่าการใช้บริการบางอย่างอาจจะเปลี่ยนไปแล้ว เช่น การเดินทางข้ามมลรัฐเพื่อการประชุม (Business Trip) อาจจะลดล ความต้องการใช้สำนักงาน รวมถึงการเดินห้าง (Brick & Mortar, Retail Shops) ดังนั้น ในแง่ของพอร์ตการลงทุนอาจจะเพิ่มน้ำหนักไปได้ แต่คงมุมมองเป็นแค่เพียงการเข้าลงทุนชั่วคราว ระยะยาวกลุ่ม Growth Stock จะยังคงน่าสนใจมากกว่า  แผนภาพที่ 1: แสดงการเคลื่อนไหวของ ETF ช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา (%) Growth Stock ที่มา: Koyfin Data As of 10 March 2021   สหรัฐฯ ภายหลังชนะ โควิด-19 จะกลับมาสู่วาระขับเคลื่อนเศรษฐกิจระยะยาว ธุรกิจอะไรจะได้ประโยชน์ ? ประธานาธิบดีไบเดนคาด ภายในเดือนพฤษภาคม ประชาชนสหรัฐฯ จะได้รับวัคซีนเพียงพอ โดย CNN คาดว่าร้อยละ 70 ของประชากรจะได้รับวัคซีนในเดือนกรกฎาคม ดังนั้น เราเชื่อว่าภายหลังที่ โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย ประธานาธิบดีไบเดนจะกลับมา Focus ในประเด็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะกลาง-ยาว โดยเฉพาะนโยบายที่เคยหาเสียงไว้เม็ดเงินกว่า 400 พันล้านเหรียญฯ สำหรับกลุ่มธุรกิจ “Clean Energy and Innovation” โดยผู้เขียนเชื่อว่าหลายธุรกิจจะได้รับอานิสงส์โดยตรง เช่น กลุ่มธุรกิจโซลาร์และพลังงานทางเลือก แบตเตอรี่ รถยนต์ไฟฟ้า และสถานีชาร์ต (Charging Stations)  โดยเฉพาะการติดตั้งระบบโซลาร์เพื่อทดแทนพลังงานไฟฟ้าแบบเดิมที่มีต้นทุนลดลงถึงร้อยละ 80 ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แผนภาพที่ 2: เป้าหมายและความก้าวหน้าของ SunShot Growth Stock ที่มา: Energy.gov สำหรับการลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่ได้ประโยชน์ดังกล่าว ผู้เขียนได้พบว่าปัจจุบันมีหลายๆ กองทุนในไทยมีทางเลือกมากขึ้นให้กับผู้อ่านในการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจดังกล่าว แผนภาพที่ 3: ตัวอย่าง ETF ที่นักลงทุนในสหรัฐฯ ให้ความสนใจที่มีการปรับฐานราคาลงมาในช่วงเดือน ก.พ. – มี.ค. Growth Stock ที่มา: Bloomberg data as of March 10 2021   นอกจากกลุ่ม “New Energy” เป็นจังหวะเข้าลงทุนในอะไรได้บ้าง ? การปรับฐานที่เกิดขึ้นในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาเป็นโอกาสของนักลงทุนหลายท่านที่เฝ้ารอ หรือนักลงทุนหลายท่านที่ลงทุนไปแล้วกลับขาดทุน แต่ก่อนที่จะกลับเข้าลงทุน เราต้องกลับมาประเมินสิ่งที่ลงทุนไปแล้วเช่นกัน ว่ายังอยู่ในอุตสาหกรรมที่จะเติบโตดีหรือไม่ ในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่าการลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่จะมาแทนที่ (Disruptor) ธุรกิจเดิมๆ  อาทิ รถยนต์ไฟฟ้า พลังงานสะอาด (Clean Energy) แบตเตอรี่ (Energy Storage) การแพทย์สมัยใหม่ (DNA Sequencing, Target Therapeutics, Genomics & Biotechnology)  ยังเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นที่ปรับลดลงจากการขายทำกำไร เป็นกลไกปกติของตลาด  แต่กลุ่มธุรกิจที่เราเลือกยังคงคิดค้นหานวัตกรรมใหม่ๆ ไม่หยุดนิ่ง และในท้ายสุดเชื่อว่าจะส่งผลไปยังผลดำเนินงานที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดและสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว   บทความโดย กันติพัฒน์ วงศ์สุคนธ์ Head of  Wealth  Advisory บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้
ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine