กองทุน FIF ตลาดหุ้นเอเชียโดดเด่น : เปิดคำแนะนำจาก 4 กูรูการเงิน - Forbes Thailand

กองทุน FIF ตลาดหุ้นเอเชียโดดเด่น : เปิดคำแนะนำจาก 4 กูรูการเงิน

สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนต่างประเทศโดยซื้อกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ (FIF) ปี 2562 กองทุน FIF ที่ลงทุนในตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชียนับว่าน่าสนใจ

ในปี 2561 ที่ผ่านมานักลงทุนต้องเผชิญกับภาวะการลงทุนทั่วโลกที่มีความผันผวนสูงมากโดยเฉพาะการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้น อย่างไรก็ตาม หลังจากที่สถานการณ์หลายอย่างดีขึ้นทำให้นักลงทุนเริ่มหันกลับเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงซึ่งตลาดหุ้นเอเชียเป็นหนึ่งในตลาดที่อยู่ในความสนใจของนักลงทุน ซึ่ง Forbes Thailand ได้นำคำแนะนำการลงทุนจาก 4 กูรูมารวบรวมไว้ที่นี่

 

หุ้นเอเชียยังไม่แพง

Michael Reed ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.แมนูไลฟ์ เชื่อมั่นว่า ภูมิภาคเอเชียยังคงเป็นศูนย์กลางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกด้วยปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งและมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับที่สูง โดยได้แรงหนุนจากความต้องการภายในประเทศที่แข็งแกร่งใน 2 ประเทศหลักที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก ได้แก่ จีนและอินเดีย

ประกอบกับตลาดหุ้นหลักในเอเชียที่ปรับตัวลงมามากทำให้ราคาหุ้นอยู่ในระดับที่น่าสนใจลงทุน จึงทำให้น่าจะมีเม็ดเงินลงทุนไหลกลับมายังภูมิภาคนี้อีกครั้ง

ทั้งนี้ ผู้จัดการกองทุนเชื่อว่าหุ้นเอเชียมีแนวโน้มที่ดีในระยะยาว โดยได้รับประโยชน์จากทางด้านโครงสร้างประชากรและปัจจัยพื้นฐานที่มีการเติบโตแบบยั่งยืน ประกอบกับการปรับตัวลงของตลาดหุ้นในปีผ่านมายังทำให้ค่าเฉลี่ยของราคาต่อมูลค่าหุ้นของตลาดหุ้นเอเชียยังคงอยู่ในระดับที่ไม่แพง

 

ลงทุนในหุ้นกลุ่มดิสรัปทีฟ

รัชต์ โสดสถิตย์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.แอสเซท พลัส มีมุมมองว่าธีมการลงทุนในปีนี้มี 3 ธีม ดังนี้

ธีมที่ 1 ดิสรัปทีฟ หุ้นกลุ่มที่อยู่ในกระแสดิสรัปต์ (Disrupt) ยังมีโอกาสเติบโตได้ดี เนื่องจากกลุ่มธุรกิจที่เข้ามาดิสรัปต์ธุรกิจเดิมๆ ยังคงเป็นที่จับตาและมีอัตราการเติบโตสูง ยกตัวอย่างเช่น หุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับคลาวด์เซอร์วิส โดยอัตราการเติบโตของคลาวด์เซอร์วิสยังคงเติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 17% ต่อปี

ธีมที่ 2 เทคโนโลยี สำหรับในด้านเทคโนโลยีที่น่าสนใจ ในปีนี้อาจจะมีการเริ่มใช้สัญญานอินเทอร์เน็ต 5G ซึ่งมีความเร็วมากกว่าเดิมถึงร้อยเท่า โดยผู้นำด้านสมาร์ทโฟนอย่าง Samsung และ Huawei เองก็มีแผนที่จะเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ที่รองรับ 5G เผยให้เห็นโอกาสในการลงทุนในอีกหลายมิติมากขึ้นสำหรับนักลงทุน

ธีมที่ 3 หุ่นยนต์ หรือโรโบติกส์ โดยแม้ว่าในปีที่ผ่านมากระแสการใช้หุ่นยนต์ในงานด้านต่างๆ มีการชะลอตัว เนื่องจากภาพเศรษฐกิจที่มีการชะลอตัว แต่ในอนาคตด้วยอัตราการพัฒนาของนวัตกรรมที่ค่อนข้างสูง จึงมองว่าธุรกิจบางประเภทจะถูกดิสรัปต์โดยหุ่นยนต์ ได้แก่ การทำฟาร์ม งานก่อสร้าง และงานที่ไม่ต้องใช้ทักษะของแรงงานมาก ซึ่งยังคงเป็นปัจจัยหนุนให้กลุ่มอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ยังคงน่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะยาว

ทิศทางการลงทุนในปีนี้ จึงแนะนำว่าสำหรับตลาดทุนในประเทศพัฒนาแล้ว ควรเน้นลงทุนโดยการเลือกลงทุนในหุ้นรายตัวในธีมที่มีความน่าสนใจ เช่น กลุ่มที่อยู่ในกระแสดิสรัปทีฟ โดยเน้นเลือกลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง

จับตา 5G : เทคโนโลยีนี้จะทำให้เกิดการลงทุนหลากหลายมิติมากขึ้น

สำหรับการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ กรรมการผู้จัดการ บลจ.แอสเซท พลัส แนะนำว่าให้เน้นลงทุนในกลุ่มประเทศที่คาดว่าได้รับประโยชน์จากสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น หุ้นอินเดีย ได้รับอานิสงส์บวกจากปัจจัยดังกล่าวมากที่สุด เนื่องจากมีระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยภาคบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก ประกอบกับมีภูมิคุ้มกันจากสงครามการค้าสหรัฐอเมริกา และจีนที่ยังคงมีความไม่แน่นอน

อีกหนึ่งประเทศที่มีความน่าสนใจคือ ตลาดหุ้นจีน เนื่องจากมีโอกาสเติบโตในระยะยาว แม้ว่าเศรษฐกิจจีนอยู่ในภาวะชะลอตัว เนื่องจากการตกลงทางการค้าที่ยังไม่ชัดเจนกับสหรัฐฯ แต่รัฐบาลจีนก็มีเครื่องมือด้านนโยบายจำนวนมาก ที่จะนำมาใช้เพื่อสนับสนุนกลับมาเติบโตในอนาคต

สำหรับประเทศสุดท้ายคือ หุ้นเวียดนาม คาดว่าจะได้รับประโยชน์ในเรื่องการย้ายฐานผลิตเนื่องจากมีค่าแรงในการจ้างงานที่ยังถูกและมีแรงงานที่มีความสามารถเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน อีกทั้งยังมีประเด็นสงครามการค้าเข้ามาเป็นตัวกระตุ้นให้จีนย้ายฐานการผลิตเกิดเร็วขึ้น ซึ่งเวียดนามน่าจะได้รับผลประโยชน์ไม่ว่าเหตุการณ์จะออกมาในแง่ใด

 

เฮลธ์แคร์โลก หนีผันผวน

ด้านธีมการลงทุนที่มาแรงต่อเนื่อง และถือหนึ่งในเมกะเทรนด์ นั่นก็ คือ กลุ่มเฮลธ์แคร์โลก โดย สาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด และที่ปรึกษาการลงทุน บลจ.ทิสโก้ กล่าวว่า ในยามที่เศรษฐกิจเป็นขาลง ผลกำไรของตลาดหุ้นก็จะหดตัวตามไปด้วย

ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมในช่วงปลายวัฏจักร จึงควรเน้นลงทุนใน กองทุน FIF กลุ่มอุตสาหกรรมที่ผลกำไรไม่ผันผวนไปตามเศรษฐกิจโลกมากนัก และยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดีในระยะยาว เช่น ในกลุ่มเฮลธ์แคร์โลก ซึ่งได้ประโยชน์จากเมกะเทรนด์ของสังคมผู้สูงอายุ

หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ระดับโลกมีความน่าสนใจเพราะผันผวนต่ำในยุคปลายวัฏจักรเศรษฐกิจเช่นนี้

นับจากปี 2533 ถึง 2561 หุ้นในกลุ่มเฮลธ์แคร์ของสหรัฐอเมริกามีกำไรเติบโต 1,356% สูงกว่าตลาดโดยรวมถึงกว่าหนึ่งเท่าตัว ขณะที่กำไรของดัชนี S&P500 โต 520% ในช่วงเดียวกันสาห์รัชกล่าวทิ้งท้าย

 

หุ้นจีนยังน่าซื้อ ควรชะลอการลงทุนอเมริกา

ด้าน นาวิน อินทรสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุนต่างประเทศ บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า

“...ปัจจุบัน บลจ.กสิกรไทย ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นจีน เนื่องจากราคาหุ้นจีนยังซื้อขายในระดับที่ถูกกว่าประเทศอื่น อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความไม่แน่นอนเรื่องสงครามการค้าทำให้ตลาดหุ้นจีนมีความผันผวนสูง จึงแนะนำให้ประเมินสถานการณ์ก่อนเข้าลงทุนเพิ่มเติม ในขณะที่หุ้นสหรัฐอเมริกา มีระดับราคาหุ้นซื้อขายแพงกว่าภูมิภาคอื่น จึงแนะนำให้ชะลอการเข้าลงทุน เพื่อรอประเมินสถานการณ์การลงทุนต่อไป

สำหรับหุ้นกลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน ได้รับอานิสงส์จากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน กลุ่มสาธารณูปโภค และกลุ่มขนส่ง ทั้งนี้ในภาพรวมหุ้นโครงสร้างพื้นฐานฟื้นตัวดีขึ้นจากปีก่อนกว่า 9% โดยมีแรงหนุนหลักมาจากตลาดการเงินโลกคลายความกังวลต่อนโยบายทางการเงินของสหรัฐอเมริกาที่เข้มงวดน้อยลง (Dovish)

 
คลิกเพื่ออ่านบทความทางด้านการลงทุนได้ที่ Forbes Wealth Management & Investing 2019 ในรูปแบบ e-Magazine