บริบทใหม่การค้าโลก ผลกระทบจากภาษี 'โดนัลด์ ทรัมป์' - Forbes Thailand

บริบทใหม่การค้าโลก ผลกระทบจากภาษี 'โดนัลด์ ทรัมป์'

FORBES THAILAND / ADMIN
22 Jul 2025 | 08:01 AM
READ 405

​นับตั้งแต่ประธานาธิบดี Donald Trump เปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่จุดฉนวนสงครามการค้าโลกด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า สั่นสะเทือนโลกครั้งใหญ่ สร้างผลกระทบในวงกว้างจนถึงขนาดประเทศมหาอำนาจอย่างจีน แคนาดา และประเทศเป้าหมายลำดับต้นๆ ต้องออกมาตอบโต้กับนโยบายด้านภาษี แม้ขณะนี้ประธานธิบดี Trump จะมีประกาศผ่อนคลาย แต่เชื่อว่าสงครามการค้าครั้งนี้ไม่ยุติลงง่ายๆ และรอวันปะทุในเวลาอันใกล้

 

    สิ่งที่ปรากฏชัดก็คือ แนวนโยบายของ Trump ที่มีลักษณะ “ชักเข้าชักออก” ทำให้สหรัฐอเมริกาประสบปัญหาความไม่เชื่อมั่นจากนานาประเทศต่างๆ ส่งผลต่อพันธบัตรรัฐบาลที่มีระยะเวลาไถ่ถอน 10 ปีและ 30 ปี มีการขายออกพันธบัตรรัฐบาลต่อเนื่อง 

    ตลอดจนผลกระทบต่อค่าเงินเหรียญสหรัฐฯ ตลาดหุ้นอเมริการ่วงกราวรูดซึ่งเป็นสัญญาณอันตราย เพราะเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดมา 20 กว่าปี และยังสะท้อนว่านักลงทุนไม่ไว้ใจเศรษฐกิจอเมริกาและเงินเหรียญสหรัฐฯ และหากปล่อยให้ลุกลามอเมริกาจะประสบปัญหาเศรษฐกิจ

    สงครามการค้าส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก ฉากทัศน์แรกคือ อัตราการเติบโตของโลกชะลอตัว โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือ IMF ได้ลดตัวเลขการขยายตัวจาก 3.3 ในปี 2568 เหลือ 2.7-2.8 

    และในปี 2569 ฉากทัศน์ที่ 2 โลกเผชิญสถานการณ์เศรษฐกิจถดถอย (recession) ทั้งในสหรัฐ และบางประเทศในสหภาพยุโรป ส่วนฉากทัศน์ที่ 3 ที่มีบางคนพูดถึงก็คือ เศรษฐกิจโลกจะเจอภาวะเช่นเดียวกับปี 1929 ที่เรียกว่าภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (great depression) ซึ่งถ้าวิเคราะห์จากความเป็นไปได้แล้วมีน้อยมาก เนื่องจากว่าทุกประเทศได้เรียนรู้ประสบการณ์ที่เลวร้ายจากสถานการณ์นั้น เพราะฉะนั้นความเป็นไปได้ของผลกระทบจากสงครามการค้าที่เกิดขึ้นในขณะนี้ก็คือฉากทัศน์ที่ 1 และ 2

    ขณะนี้อเมริกามีหนี้สาธารณะสูงถึงกว่า 120% ต่อ GDP และหากผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้น ดอกเบี้ยพันธบัตรจะสูงขึ้น จะสร้างภาระด้านเสถียรภาพกับอเมริกาในอนาคต และนี่คือเหตุผลสำคัญที่ Trump ต้องประกาศยืดเวลาการดำเนินมาตรการในการขึ้นภาษีกับ 60 ประเทศ ออกไปอีก  90 วันในการเจรจา โดยตัวเลขล่าสุดที่เกิดขึ้นกับสหรัฐฯ คือ อัตราการเติบโตของสหรัฐอเมริกาติดลบในไตรมาสที่ผ่านมา 

    แรงกดดันจากปัจจัยดังกล่าวนี้เองทำให้ Trump ยอมอ่อนข้อเล็กน้อยกับคู่ค้าคู่แข่งมหาอำนาจทางเศรษฐกิจสำคัญอย่างจีน โดยลดภาษีนำเข้าสำหรับไอโฟนที่ผลิตจากจีน ขณะที่จีนเองตอบโต้แบบตาต่อตาฟันต่อฟันด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากอเมริกาในอัตราร้อยละ 125 และยังใช้มาตรการห้ามส่งออกแร่หายาก 10 ประเภท ที่เป็นปัจจัยการผลิตอาวุธและอิเล็กทรอนิกส์ เป็นปัจจัยด้านยุทธศาสตร์ที่สำคัญสำหรับอเมริกา 

    ขณะเดียวกันอีกฟากของสหภาพยุโรปซึ่งเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดกับอเมริกาก็ได้รับผลกระทบที่ไม่ต่างจากประเทศอื่นๆ ถูกเรียกเก็บภาษีร้อยละ 20 นอกเหนือจากเหล็กและอะลูมิเนียมที่ถูกเก็บเหมือนกับประเทศอื่นร้อยละ 25 แล้ว Trump ยังต้องการบีบสหภาพยุโรปให้แก้ปัญหาอื่นๆ ที่เป็นอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี อาทิ ลดภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และปรับปรุง มาตรฐานสินค้าโดยเฉพาะด้านเกษตร รวมถึงบีบให้แก้ปัญหาเรื่องดุลบริการ ในประเด็นการควบคุมเนื้อหาของดิจิทัลแพลตฟอร์ม ซึ่งสหรัฐฯ ต้องการให้สหภาพยุโรปปลดล็อกการควบคุม แต่สหภาพยุโรปไม่เห็นด้วยกับประเด็นดังกล่าวโดยปฏิเสธการรับข้อเสนอนี้ เพราะจะนำไปสู่ประเด็นปัญหาเรื่องความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (cyber security) และเกิดการขยายอิทธิพลของกลุ่มขวาจัดเพิ่มจำนวนมากขึ้น  

    ที่ผ่านมาสหภาพยุโรปได้เตรียมแผนรับมือ 2 แนวทางคือ พร้อมอ่อนข้อให้อเมริกาในเรื่องดุลการค้า แต่เตรียมมาตรการตอบโต้ คือการเรียกเก็บภาษีจากกลุ่มสินค้าบริการ เช่น การเรียกเก็บภาษีสำหรับโฆษณาของดิจิทัลแพลตฟอร์ม Meta หรือ Facebook และไม่อ่อนข้อในเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หรือเรื่องของการควบคุมเนื้อหา  

    สงครามการค้าครั้งนี้สร้างแรงกดดันหลายประเทศกลุ่มประเทศที่อำนาจต่อรองน้อยกว่า แม้จะอยู่ในสภาพจำยอมแต่แน่นอนว่าต้องต่อสู้เจรจาจนถึงที่สุด ไม่ยอมสยบโดยง่าย เช่น การตอบโต้ของเม็กซิโกและแคนาดาที่ใช้กลยุทธ์การตอบโต้ในลักษณะรูปแบบ กองทัพมดแดงคือตัวเล็กแต่ยิงเป้าหมายที่ชัดเจน พุ่งเป้าการโจมตีที่กลุ่มเกษตรกรรม ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่เป็นฐานเสียงของพรรครีพับลิกันในรัฐต่างๆ ควบคู่กลยุทธ์การประนีประนอม อย่างอินเดีย ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้  ส่วนการตอบโต้อีกประเภทหนึ่งคือต่อสู้แบบตาต่อตาอย่างสหภาพยุโรปและประเทศจีน  

    การเปิดเกมของประธานาธิบดี Trump ในรูปแบบข่มขู่ หรือใช้ความได้เปรียบชิงชัยเอาชนะ ครั้งนี้ในทางทฤษฎีเกมที่เรียกว่า “zero-sum game”  พอเห็นเส้นทางและจุดจบของเกมได้ว่าในที่สุดแล้วประธานาธิบดี Trump ไม่ใช่ผู้ชนะในเกมนี้ เพราะจะมีประเทศต่างๆ ที่พร้อมต่อสู้ลุกขึ้นมาตอบโต้ที่เรียกว่าเกมลบ (negative-sum game) เช่น การตอบโต้ของจีนและสหภาพยุโรป และในอนาคตสงครามการค้าครั้งนี้จะจบลงโดยการประนีประนอม ต่างฝ่ายต่างหลีกเลี่ยง negative-sum game 

    การเจรจาหาข้อยุติและการประนีประนอมจะประสบผลสำเร็จได้มากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับอำนาจต่อรองและความสามารถในการเจรจาของแต่ละประเทศ เช่น การเจรจาเพื่อหาข้อยุติและข้อตกลงระหว่าง Trump กับสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นประเทศแรกๆ และมีแนวโน้มการเจรจาหาข้อยุติกับอินเดีย ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้  ขณะที่จีนการเจรจาเพื่อหาข้อยุติและข้อตกลงร่วมกันได้เริ่มขึ้นแล้ว ซึ่งต้องใช้เวลานานทีเดียว เพราะมีข้อขัดแย้งที่เกี่ยวข้องหลายมิติ  โดยเฉพาะอัตราภาษีนำเข้าที่อเมริกาเรียกเก็บถึง 145%  

    ไม่ว่าเกมจะจบอย่างไรนโยบายสงครามการค้าของ Trump นั้นได้สร้างการเปลี่ยนแปลงระบบโลกครั้งใหม่โดยไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิม ความไม่ไว้ใจของนานาประเทศทั่วโลกต่ออเมริกาลดน้อยลงทุกขณะ และจะขยายตัวมากขึ้นนำไปสู่การลดระดับด้านความสัมพันธ์ทางการค้าการลงทุนระหว่างประเทศต่างๆ กับอเมริกา หรือที่เรียกว่า deglobalization แต่ไม่ใด้หายไปหมด ยังคงมีอยู่ แต่จะค่อยๆ ลดลง 

    ในทางตรงกันข้ามประเทศต่างๆ ก็จะหันมาขยายความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างกันมากขึ้น (intensive globalization) และโดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่างๆ กับกลุ่มประเทศโลกใต้ (global south) ก็จะขยายตัวอย่างมากขึ้น อีกประเด็นหนึ่งของผลกระทบจะนำไปสู่การขยายตัวของการทำเขตการค้าเสรี (FTA) ซึ่งเห็นได้ชัดว่าสหภาพยุโรปมีความตื่นตัวในการให้สัตยาบัน (ratification) เพื่อให้มีผลบังคับกับกลุ่มประเทศ Mercosur ซึ่งประกอบด้วยบราซิล อาร์เจนตินา อุรุกวัย และปารากวัย โดยมีชิลีเป็นประเทศสมทบ และการขยายความร่วมมือกับมาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย และให้ความสำคัญในการเข้าร่วมกับกลุ่มประเทศ CPTPP 

    เป็นโลกที่จะมีการเปลี่ยนแปลงจากระบบเก่าที่มีลักษณะของการขยายตัวของโลกาภิวัตน์ที่กำลังถูกแทนที่ด้วยระบบใหม่ คือการขยายตัวแบบคู่ขนาน ด้านหนึ่งคือ การลดเรื่องของโลกาภิวัตน์ (deglobalization) ระว่างประเทศต่างๆ กับสหรัฐอเมริกา และระหว่างกลุ่มประเทศ G7 กับรัสเซีย ซึ่งเป็นผลมาจากเรื่องสงครามยูเครน ส่วนอีกด้านหนึ่งจะเกิดการขยายตัวของโลกาภิวัตน์อย่างเข้มข้น (intensive globalization) ระหว่างประเทศต่างๆ ที่เหลือ และจะนำไปสู่การขยายตัวของบทบาทที่สำคัญของกลุ่มประเทศโลกใต้ (global south) ตั้งแต่ลาตินอเมริกา แอฟริกา เอเชียกลาง ตลอดจนตะวันออกกลาง นี่คือภาพฉายทิศทางและแนวโน้มของสงครามการค้าที่กำลังเกิดขึ้น และภายใต้บริบทของโลกที่มีการเปลี่ยนแปลง ทุกประเทศร่วมทั้งไทยด้วยจะต้องมีการปรับตัวครั้งสำคัญเพื่อรองรับกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว 


บทความโดย : รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระ 

ภาพประกอบ : ID ภาพสต็อก:2206281674 / ID ภาพสต็อก:2209358887



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : อัตราการเกิดต่ำ ประชากรลด มนุษย์ต้องพบกับจุดจบจริงหรือ?

อ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกรกฎาคม 2568 ในรูปแบบ e-magazine