การเพิ่มทองคำในพอร์ตการลงทุนเป็นอีกทางเลือกที่สามารถลดความเสี่ยง ลดความผันผวน และบรรเทาผลกระทบจากผลตอบแทนที่ขาดทุนในช่วงที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน
ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมาทองคำนับว่ามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ในฐานะสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่งและความเจริญรุ่งเรือง ในปัจจุบันทองคำได้กลับมารับความนิยมอีกครั้งในฐานะการลงทุนทางเลือกที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในช่วงปี 2568 ที่ประเทศไทยและทั่วโลกกำลังเผชิญกับความผันผวนทางเศรษฐกิจ และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ คุณสมบัติพิเศษของทองคำ เช่น สภาพคล่อง และมูลค่าที่คงทนต่อภาวะวิกฤต จึงเป็นที่ดึงดูดอย่างยิ่งทั้งในหมู่นักลงทุนไทยรุ่นใหม่และนักลงทุนกลุ่มอื่นๆ
จากรายงานสภาทองคำโลก (World Gold Council) กล่าวถึงแนวโน้มความต้องการทองคำประจำไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 ระบุว่า ความต้องการทองคำในประเทศไทยยังคงอยู่ในระดับที่สูง โดยอุปสงค์การบริโภคทองคำโดยรวมพุ่งสูงขึ้น 25% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเพิ่มขึ้น 11.6 ตันเมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ของปี 2567
การลงทุนในทองคำแท่งและเหรียญทองคำเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นถึง 38% คิดเป็นปริมาณ 10 ตันในไตรมาสนี้ นับเป็นการเติบโตที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียน ในขณะที่ประเทศอื่นๆ ส่วนใหญ่กลับมีปริมาณการลงทุนที่ลดลง
การลงทุนทองคำโตต่อเนื่อง
การลงทุนในทองคำแท่งและเหรียญทองคำเติบโตขึ้น 35% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการลงทุนในทองคำที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องของนักลงทุนไทย แม้ราคาทองคำในตลาดโลกจะปรับตัวใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ก็ตาม
นักลงทุนไทยยังคงถือครองทองคำอย่างต่อเนื่อง โดยปริมาณทองคำรีไซเคิลลดลงอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มราคาทองคำที่จะปรับตัวสูงขึ้น และการใช้ทองคำเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงในการลงทุน
ความต้องการในประเทศที่แข็งแกร่งนี้ท้าทายแรงกดดันทางเศรษฐกิจในวงกว้างที่มักส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในภาพรวมระดับโลกความต้องการทองคำโดยรวม (รวมถึงการซื้อขายนอกตลาดหลักทรัพย์แบบ Over-the-counter หรือ OTC) แตะระดับ 1,249 ตันในไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การเติบโตนี้ขับเคลื่อนโดยกระแสการลงทุนที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะในกองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยน (ETF) ที่อ้างอิงทองคำ ซึ่งมีเงินไหลเข้าสุทธิถึง 170 ตันในไตรมาสนี้ และ 397 ตันในครึ่งปีแรก นับเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2563 โดยกองทุนที่จดทะเบียนในเอเชีย รวมถึงประเทศไทย มีบทบาทสำคัญด้วยยอดเงินไหลเข้าถึง 70 ตัน ซึ่งทัดเทียมกับกระแสเงินไหลเข้าของฝั่งสหรัฐอเมริกา
บทวิเคราะห์ล่าสุดเกี่ยวกับกองทุน ETF ทองคำในเดือนกรกฎาคมจากสภาทองคำโลกได้เผยข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมว่า การไหลเข้าของเงินลงทุนในกองทุน ETF ทองคำทั่วโลกยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง โดยในเดือนกรกฎาคม ปี 2568 มีเม็ดเงินไหลเข้าเพิ่มอีก 3.2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่งผลให้มูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 386.4 พันล้านเหรียญ
ปริมาณการถือครองทองคำผ่าน ETF ทั่วโลกเพิ่มขึ้น 23 ตันในเดือนกรกฎาคม รวมเป็น 3,639 ตัน ซึ่งนับเป็นมูลค่าสิ้นเดือนที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม ปี 2565
การลงทุนมีการกระจายตัวอย่างกว้างขวางพร้อมสภาพคล่องสูง โดยแม้ว่าอเมริกาเหนือและยุโรปจะนำในด้านเงินไหลเข้า (1.4 พันล้านเหรียญและ 1.8 พันล้านเหรียญ ตามลำดับ) แต่กองทุนในเอเชียก็มีการเติบโตเช่นกัน นำโดยญี่ปุ่นและอินเดีย ปริมาณการซื้อขายในทุกภูมิภาคยังคงแข็งแกร่ง สะท้อนถึงสภาพคล่องและการเข้าถึงการลงทุนในทองคำที่ดี
แม้ว่าปริมาณการซื้อขายกองทุน ETF ทองคำจะลดลง 15% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าในเดือนกรกฎาคม แต่ปริมาณการซื้อขายยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยของปี 2567 สะท้อนให้เห็นถึงความสนใจที่ยังคงมีอย่างต่อเนื่องและความยืดหยุ่นของการลงทุนในทองคำ
ตลาดตอบรับเชิงบวก
นอกจากนี้ ตลาดยังตอบรับในเชิงบวกต่อสัญญาณจากธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ในการประชุมที่เมือง Jackson Hole โดยความต้องการทองคำในตลาดโลกยังคงแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้การคาดการณ์ถึงแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยส่งผลให้ทองคำมีความน่าดึงดูดยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับสถานะของทองคำในตลาดอีกด้วย
การเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของความต้องการทองคำในประเทศไทย โดยเฉพาะการลงทุนในรูปแบบทองคำแท่งและเหรียญทองคำสะท้อนให้เห็นว่าคนไทยใช้ทองคำเป็นเครื่องมือทั้งในการรักษามูลค่าความมั่งคั่ง และการแสวงหาผลตอบแทนอย่างแข็งขัน
ทั้งนี้แนวโน้มการเติบโตดังกล่าวสอดคล้องกับกระแสการลงทุนในกองทุน ETF ทองคำในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้น และตอกย้ำถึงการเคลื่อนไหวในระดับสากลที่มองทองคำเป็นทั้งสินทรัพย์ปกป้องความเสี่ยงและเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวน
สำหรับมุมมองในอนาคตสภาทองคำโลกได้คาดการณ์ราคาทองคำช่วงกลางปี 2568 ในทิศทางบวก โดยคาดว่าราคาทองคำจะรักษาระดับหรือปรับตัวสูงขึ้น ด้วยเป้าหมายระหว่าง 3,100-3,500 เหรียญต่อออนซ์ และอาจสูงกว่านี้หากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกยังคงดำเนินต่อไป ด้วยปัจจัยกดดันจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้า อัตราเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ความไม่แน่นอนของนโยบายธนาคารกลาง และความเสี่ยงทางการเมืองทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ คาดว่านักลงทุนไทยจะยังคงถือครองทองคำเป็นสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ในพอร์ตการลงทุนต่อเนื่องไปจนถึงปี 2569
สภาทองคำโลก เป็นองค์กรสมาชิกที่สนับสนุนบทบาทของทองคำในฐานะสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ ซึ่งเป็นองค์กรผู้สร้างอนาคตห่วงโซ่อุปทานทองคำที่มีความรับผิดชอบสำหรับทุกภาคส่วน ทีมผู้เชี่ยวชาญของสภาทองคำโลกสร้างความเข้าใจผ่านการศึกษากรณีตัวอย่าง (use case) และความเป็นไปได้ของสินทรัพย์ทองคำผ่านการวิจัย บทวิเคราะห์ ความเห็น และข้อมูลเชิงลึกที่มีความน่าเชื่อถือ ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมให้ก้าวหน้า ผลักดันนโยบาย และสร้างมาตรฐานสำหรับตลาดทองคำที่มั่นคงและยั่งยืน
บทความโดย: Shaokai Fan หัวหน้าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมจีน) สภาทองคำโลก
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ผู้นำด้านความปลอดภัยไซเบอร์ เตือนยุค AI ความเสี่ยงเพิ่ม



