การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของบริษัท Apple ยังเป็นที่จับตาของหลายคน สำหรับปี 2019 มีการเปิดตัว 3 รุ่น ได้แก่
iPhone 11 ราคาเริ่มต้น $699
iPhone 11 Pro ราคาเริ่มต้น $999 และ
iPhone 11 Pro Max ราคาเริ่มต้น $1099 สิ่งที่น่าสนใจนอกจากคุณสมบัติใหม่ๆ แล้วคือ ราคาเปิดตัวของ iPhone 11 ซึ่งถือว่าเป็นรุ่นที่ถูกปรับปรุงจาก iPhone XR ในปีที่แล้ว มีการปรับลดราคาถึง $50 ขณะที่ iPhone 8 ราคาเริ่มต้น $449 หรือปรับลดลงถึง $150 นอกจาก iPhone แล้วยังมีผลิตภัณฑ์ใหม่อีก 2 รายการ คือ Apple Watch และ
iPad รุ่นใหม่ (7th generation) โดยเฉพาะราคา iPad รุ่นใหม่ ที่มีราคาเริ่มต้นเพียง $329 โดยมี Chip ประมวลผลที่เร็วกว่าเดิมและสามารถใช้งานร่วมกับดินสอ Apple Pencil และ Keyboard ได้
บริการใหม่จะช่วยลดการพึ่งพารายได้จากธุรกิจ Hardware
นอกจากการเปิดตัวอุปกรณ์รุ่นใหม่อย่าง iPhone Apple Watch และ iPad แล้ว Apple ยังได้เปิดเผยรายละเอียดของบริการใหม่ที่ได้เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ โดยค่าบริการทั้ง Apple TV+ ที่เป็นบริการ Streaming TV และ Apple Arcade ที่เป็นบริการเกมส์นั้น
Apple มีการคิดค่า Subscription Fee ที่ $4.99 ต่อเดือน ซึ่งเป็นราคาที่ถูกกว่าการให้บริการ Streaming ของผู้ให้บริการรายอื่นทั้ง Disney+ รวมถึงบริการเล่นเกมส์ Apple Arcade ก็ถือว่าเป็นราคาที่ถูกกว่าเมื่อเทียบกับ Stadia (Cloud Gaming Service ของ Google) และ Apple ยังให้ผู้ที่ซื้อผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Apple ทั้ง iPhone iPad และ Apple TV สามารถรับชมบริการ Apple TV+ ได้ฟรีเป็นเวลานานถึง 1 ปีเต็ม
การปรับกลยุทธ์ดังกล่าวทั้งการเปลี่ยนแปลงด้านราคาใน iPhone และ iPad ในขณะที่มีการเปิดตัวบริการหลากหลาย มองได้ว่าเป็นผลมาจากรายได้ของ iPhone ในช่วงที่ผ่านมาที่ลดลงถึง -15% YoY ในปี 2019 หรือลดลง 1.9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในขณะที่รายได้จากผลิตภัณฑ์อื่นๆ มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นราว 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
แผนภาพที่ 1: การเปลี่ยนแปลงรายได้ของ iPhone
Source: Bloomberg
ดังนั้น ราคาขายของ iPhone ในครั้งนี้ที่ลดลงจากราคา iPhone ที่เปิดตัวในปีที่แล้ว
ประเมินได้ว่ากลยุทธ์ที่ Apple พยายามจะทำหลังจากนี้ คือ 1. เพิ่มจำนวนผู้ใช้ใหม่ๆ (Expand User Base) เพื่อที่จะได้ทดลองใช้ Services ต่างๆ และ ในท้ายสุดมีโอกาสจะสมัครใช้บริการ 2. ต้องการให้บริษัทพึ่งพารายได้จากธุรกิจให้บริการมากกว่ายอดขายอุปกรณ์แต่เพียงอย่างเดียว (แม้ยังใช้ iPhone เครื่องเก่าแต่ยังจ่ายค่าใช้บริการต่างๆ) ทั้งนี้เราคงจะต้องมารอดูว่าบริการ Apple TV+ และ Apple Arcade จะประสบความสำเร็จและเอาชนะคู่แข่งรายอื่นๆ ได้หรือไม่
หากอ้างอิงจากบทวิเคราะห์ของ
Goldman Sachs พบว่า บริการเกมส์
Apple Arcade และบริการ
Apple TV+ รวมกันสามารถทำให้กำไรต่อหุ้นของ Apple เพิ่มขึ้นถึง $0.41 ในปี 2020 ถ้าหากมีผู้ใช้บริการทั้ง 2 บริการ 55 ล้านรายแต่ละบริการ และ Arcade มี EBIT Margin หรือสัดส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษีที่ 40% และ TV+ มี EBIT Margin ที่ 23% สำหรับกรณีที่แย่ที่สุด คือ มีผู้ใช้บริการเพียงแค่ 15 ล้านรายสำหรับแต่ละบริการ และ Arcade มี EBIT Margin 20% ส่วน TV+ มี EBIT Margin เพียงแค่ 3% จะส่งผลให้กำไรต่อหุ้นของ Apple เพิ่มขึ้น $0.05 ในปี 2020
แผนภาพที่ 2: คาดการจำนวนผู้ใช้บริการ (ล้านคน) ในแต่ละ Service
Source: Goldman Sachs