7 สาเหตุของความยากจนในสังคมไทย - Forbes Thailand
อะไรเป็นสาเหตุของความยากจนในสังคมไทย 1.โครงสร้างของระบบ โครงสร้างปิรามิดแบบ ยอดแคบ ฐานกว้างมาก โดยที่ตรงฐานมีจำนวนมหาศาลเกินไป ไม่สามารถปรับโครงสร้างให้เกิดความเท่าเทียมได้ เนื่องจากการขึ้นค่าแรง หรือเงินเดือน จะทำให้ consumer price index พุ่งตามทันที อำนาจในการซื้อของทุกคนจะลดลง ดังนั้นโครงสร้างแบบนี้ เป็นความยากที่จะแก้ไขความยากจนของคนทั้งหมดได้ คิดดูว่า คนงานรับค่าแรงวันละ 300 เดือนนึงทำงานเอาแบบสุดๆ ได้ 30 วัน รายได้เดือนละ 9,000 บาท เจอค่าเช่าห้อง ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าเดินทาง ก๋วยเตี๋ยวชามละ 35 บาท จะไปเหลือเงินเก็บได้อย่างไร โครงสร้างตรงนี้ เป็นกันเกือบทั้งโลก ยกเว้นในส่วนประเทศที่เป็นระบบ welfare state เข้มข้น ( นอร์เวย์ สวีเดน เดนมาร์ก ) แต่ที่เพราะเขาทำได้ เพราะมีประชากรน้อย 5-10 ล้านคน บ้านเรา 70 ล้านคน ยังไงก็ทำไม่ได้ 2.ลงขวดเหล้า ลงหวยหมด เมื่อความจน+ความเครียด เข้ามา ทางแก้ปัญหาดื้อๆ เลยคือลงขวดเหล้า เพราะเหล้าทำให้ลืมความเครียดชั่วคราว ผมไปตามต่างจังหวัด บางทีชาวบ้านตั้งโต๊ะก๊งเหล้ากันทุกเย็น เงินหมดก็ไปหาใหม่ พอมีกลับมาลงขวดเหล้า ส่วนหวย ถ้าเป็นสลากกินแบ่งรัฐบาลยังไม่ค่อยเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ไปลงหวยใต้ดินหมด บางคนแทงทีกะว่าต้องเอารวย ซึ่งส่วนใหญ่จะโดนหวยแดกมากกว่า เงินที่ไปลงขวดเหล้ากับหวยใต้ดิน ถ้าสามารถนำมาเก็บออมเพื่อใช้เป็นทุนในการประกอบอาชีพได้ ปีนึงๆมีหมุนเวียนในระบบมหาศาล 3.การศึกษา เราถูกสอนให้ทำงานตามระบบ แต่ไม่เคยถูกสอนให้คิดเอง ผมมองว่าระบบที่เน้นการท่องจำเป็นนกแก้วนกขุนทอง เรียนรู้ในสิ่งเดิมๆ ไม่สามารถทำให้เด็กไทยส่วนใหญ่ไปสู้ต่อในชีวิตจริงได้ ไม่ใช่การศึกษาไม่ดี ผมคิดว่าดี แต่เราต้องเปลี่ยนมุมมอง เปลี่ยนทัศนคติ และปรับรูปแบบของหลักสูตรให้สอดคล้องกับชีวิตจริงในสถานการณ์ปัจจุบัน   4.ความเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดการพัฒนาตนเอง แต่หวังพึ่งจากปัจจัยอื่นๆ เช่นการขูดเลขขอหวยกับต้นไม้ การกราบไหว้สัตว์ที่มี dna ผิดปกติ การบูชาบวงสรวงร่างทรงที่มีทั้ง พ่อปู่ไจแอ้นท์ โดเรม่อน พ่อปู่ไบรอัน Mindset เหล่านี้ขัดขวางต่อการใช้ตัวเองเป็นจุดยืนในการดิ้นรนเพื่อทำให้ชีวิตตนเองดีขึ้น ชีวิตเราจะดีขึ้นได้ มันอยู่ที่หนึ่งสมองและสองมือของเรา ไม่ใช่ไปไหว้หลักกิโล แล้วชีวิตจะดีขึ้น   5.ทุนผูกขาดกินรวบทุกประตู กฏหมายบ้านเรายังไม่มีประเด็นที่ให้ความสำคัญเรื่องการผูกขาดรวบอำนาจ ดังนั้นกิจการหลายอย่างเวลาเจอทุนใหญ่ทุบมาทีเดียว รายเล็กๆตายหมด สู้ไม่ไหว จะให้ทุกคนไปทำ niche market สู้กับรายใหญ่ จะไปสู้ได้ยังไง รายเล็กๆ ทำธุรกิจสู้รายใหญ่ไม่ได้ แถมเวลาทำก็ต้องกู้หนี้ยืมสินมา หมุนไม่ทันก็เก็บของเรียบร้อยโรงเรียนเจ้าสัว   6.ความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน จะกู้ก็ต้องมี collateral หรือหลักประกัน ถ้าไม่มีก็เก็บเอาไว้ก่อน ดังนั้นต่อให้โปรเจกต์ดีแค่ไหน ไม่มีทุนเข้ามา บางทีก็ยากที่จะไปต่อ บางคนบอกว่า ทำไมไม่ทำแบบ start-up ผมต้องถามกลับว่า ชาวบ้านธรรมดาทั่วไป มีกี่คนที่สามารถทำแบบ start-up ที่ได้ทุนมาจาก venture capital หรือ angel investor ได้ คนกลุ่มนี้ฉลาด ถ้าธุรกิจไม่มี core competencies แข็งแกร่งจริงๆ หรือมี innovation ไม่มีใครกล้าลงทุนหรอก 7.ทรัพยากรถูกดึงออกไปด้วย government spending ที่ไม่ก่อให้เกิดการพัฒนาจริงๆ พูดง่ายๆคือการคอรัปชั่น GDP = C + I + G + ( X-M ) G คือ Government Spending ที่ส่งผลได้ตรงประสิทธิภาพที่สุด เร็วที่สุด แต่ปัญหาคือ G ถูกผ่องถ่ายออกไป โดยการคอรัปชั่น ทำให้วงจรตรงนี้ผิดเพี้ยนจากสิ่งที่มันควรจะเป็น ========================================= การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำซึ่งเป็นนโยบายของหลายๆ พรรคตอนนี้ ไม่ได้ช่วยให้คนจนหมดไปจากประเทศไทย มีแต่จะทำให้อำนาจซื้อของเงินลดลง คนจะยิ่งจนลงโดยเฉพาะคนชายขอบ การแก้ไขปัญหาความยากจน ต้องแก้ที่โครงสร้างทั้งหมด ต้องใช้ระยะเวลาหลายปี และไม่มีใครสามารถทำได้ภายใน 4 ปีแน่นอน ดังนั้นที่จะบอกคือ วาทกรรมทำให้คนจนหมดประเทศ เป็นเพียงถ้อยคำสวยหรูเพื่อใช้ในการหาเสียง สิ่งที่ภาครัฐจะพอทำได้ ไม่ใช่ให้คนจนหมดประเทศ เพราะเป็นเรื่องที่ต้องใช้ระยะเวลาที่นานกว่า 20 ปี การสร้างปัญญา (wisdom) และความพอเพียงคือหนทางที่แท้จริงที่จะทำให้คนจนหมดไปจากประเทศไทย

Wisdom + Sufficient Economy

หนทางเดียวที่จะทำให้ประเทศไทยพ้นจากความยากจน เราคนไทยโชคดีที่มีพระมหากษัตริย์ที่มีอัจฉริยภาพ มองเห็นถึงปัญหาที่เป็นแก่นฝังรากในสังคมไทย คือคนจน คนชายขอบ คนด้อยโอกาส มีจำนวนมากมายเกินกว่าที่จะผลักดันประเทศให้เป็น welfare state ได้ หนทางเดียวที่จะแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ คือใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงและบวกด้วยปัญญาในการจัดการแบบถูกต้อง คำว่าพอเพียง เป็นความหมายลึกซึ้ง พอเพียงทั้งในแง่กายภาพ และพอเพียงทั้งทางด้านจิตใจ ในชนบท ความพอเพียงทางกายภาพคือ การจัดการที่ดินเพื่อการอยู่อาศัยและมีชีวิตที่ยั่งยืน โดยมีการแบ่งที่เป็นส่วนๆได้แก่ พื้นที่น้ำ พื้นที่ดินเพื่อเป็นการปลูกข้าว พื้นดินเพื่อปลูกไร่นานาพันธุ์ และที่ดินสำหรับอยู่อาศัยและเลี้ยงสัตว์ ปัจจัยในการดำรงชีวิตของมนุษย์ 4 ปัจจัย คือ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ถ้าเราสามารถให้ปัญญาและวิธีการจัดการให้แก่ชาวบ้านได้ การจัดการที่ดินในทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง สามารถสร้างปัจจัย 4 ในการดำรงชีวิตได้ครบถ้วน คือมีทั้งอาหาร ( ข้าว พืชไร่ เลี้ยงสัตว์ ) ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ( เลี้ยงไหม ) ยารักษาโรค ( สมุนไพรพื้นบ้าน ) ทำให้ unit หนึ่งครอบครัวพึ่งพาตนเองได้มากที่สุด ถ้าเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ หรือค่าเงินเป็นแบบ Venezuela คนที่สามารถพึ่งพาตัวเองได้แบบนี้ จะแทบไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เลย ส่วนภาครัฐมีหน้าที่ในการจัดสรร infrastructure และ facilities เสริมให้ทั่วถึงประชากรทั้งหมด ทั้งในส่วนของการศึกษา การสาธารณสุข การคมนาคม และการให้ความรู้และความเข้าใจ ในสังคมเมือง เราไม่สามารถจัดสรรที่ดินได้ แต่คนในสังคมเมืองส่วนใหญ่ อยู่ในกลุ่มธุรกิจแบบ พาณิชยกรรมและอุตสาหกรรม ดังนั้น ความพอเพียงของคนในสังคมเมือง คือการใช้ชีวิตให้สมดุลย์ระหว่างรายรับ - รายจ่าย ไม่สร้างหนี้ ใช้จ่ายให้ประหยัด มีเงินออมเหลือเก็บ ไม่ไหลไปตามกระแสแฟชั่น ไม่ใช้จ่ายเพื่ออวดรวย แต่ใช้เงินเพื่อซื้อสิ่งจำเป็นเท่านั้น ที่สำคัญคือความพอเพียงทางด้านจิตใจ บางคนมีเงินเก็บ 2 แสนก็พอใจแล้ว บางคนมีเป็นพันล้านหมื่นล้านก็ยังไม่พอ แต่มันเป็นความไม่พอทางด้านจิตใจ ไม่ใช่กายภาพ เพราะสุดท้ายไม่เคยมีใครเอาไปใช้ได้ทั้งในนรกและสวรรค์ หรือถ้าเชื่อว่าตายแล้วสูญก็เอาไปใช้ไม่ได้อยู่ดี เนื่องจากอายุขัยของมนุษย์ทุกคนมีจำกัด ถ้าเรามาเปรียบเทียบ ความกลัวตายของมหาเศรษฐีคนนึงที่มีทรัพย์สินแสนล้าน กับคนขอทานข้างถนน เชื่อว่า คนแรกจะกลัวตายมาก เพราะยังใช้เงินไม่หมด และไม่รู้จะใช้ยังไงให้หมด กับอีกคนคงไม่กลัวตายหรือเสียดายชีวิตเท่าคนแรก เพราะเป็นเรื่องสลดกว่าถ้าเงินหมดแล้วยังไม่ตาย บางทีอาจจะอยากตายๆให้มันจบๆไปด้วยซ้ำ ดังนั้น ความพอเพียงที่แท้จริงจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเรารู้สึกเพียงพอ จุดเริ่มต้นสำหรับการเรียนรู้ สามารถเข้าไปศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.supertraderrepublic.com เรียนครบ จบในที่เดียว