5G กับภาคอุตสาหกรรมและการทำงานของ Edge Computing - Forbes Thailand

5G กับภาคอุตสาหกรรมและการทำงานของ Edge Computing

FORBES THAILAND / ADMIN
25 Oct 2021 | 10:06 AM
READ 1613

มีคำถามว่า เราสามารถจะนำ edge computing ไปใช้ได้หรือไม่ หรือแม้แต่ในห้วงอวกาศที่ห่างไกล ใครจะเคยคิดบ้างว่า เราจะนำเทคโนโลยี Kubernetes ไปใช้ได้ในอวกาศ จากความท้าทายที่กล่าวมาข้างต้น

Red Hat ได้ร่วมมือกับ IBM นำ edge computing ไปใช้งานในสถานีอวกาศนานาชาติและสถานที่ห่างไกลหลายแห่ง และนี่เองที่ edge computing กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของเราที่เป็นอยู่ในขณะนี้ แม้ในสภาพแวดล้อมที่ห่างไกลมากๆ ที่ไม่สามารถจะมีดาต้าเซ็นเตอร์หรือเชื่อมต่อกับดาต้าเซ็นเตอร์ได้ตลอดเวลา เช่น ยอดเขาเมาท์วอชิงตัน ซึ่งมีความสูง 6,288 ฟุต และเป็นจุดที่มี “สภาพอากาศเลวร้ายที่สุดในโลก” นับตั้งแต่ปี 2477 กว่า 80 ปีมาแล้วที่ภูเขาแห่งนี้เป็นเจ้าของสถิติลมกรรโชกเร็วและแรงที่สุดในโลก ที่ความเร็ว 231 ไมล์ต่อชั่วโมง สำหรับเทคโนโลยีอย่าง edge computing อาจมีหลายความหมาย บางคนอาจหมายถึงการประมวลผล บางคนอาจหมายถึงการประมวลผลที่ปลายทางของอุปกรณ์ หรือก็คือต้นทางที่ข้อมูลเข้ามา สำหรับผมเทคโนโลยีนี้ คือ ความสามารถในการใช้งานที่สามารถเปลี่ยนรูปแบบได้อย่างยืดหยุ่น ซึ่งเป็นสิ่งที่ในปัจจุบันธุรกิจในทุกอุตสาหกรรมต้องการเป็นอย่างยิ่ง และเป็นสิ่งที่สามารถช่วยให้การตัดสินใจทำได้แบบเรียลไทม์ ณ จุดที่อยู่ห่างไกล เช่น โรงงานที่ตั้งอยู่ในชนบท รถไฟที่กำลังวิ่งไปตามราง บ้านของผู้ที่ใช้ที่เชื่อมต่อระบบต่างๆ หรือบนรถของพวกเขาที่กำลังเร่งความเร็วอยู่บนทางหลวง

การทำงานร่วมกันมีความสำคัญ

เทคโนโลยี edge กำลังผสานโลกดิจิทัลและโลกทางกายภาพเข้าด้วยกันในวิถีทางใหม่ และการผสานรวมนี้กำลังจะมีความสามารถและความฉลาดเทียบเท่ามนุษย์ ซึ่งอาจเคยดูเหมือนเป็นความสำเร็จที่ได้แต่วาดหวังไว้ แต่มันเกิดขึ้นจริงแล้วในปัจจุบันตัวอย่างที่ชัดเจนคือ การที่เรานำเทคโนโลยีที่ผสานโลกแห่งความเป็นจริงและโลกเสมือนจริงเข้าด้วยกัน (Augmented Reality: AR) และเทคโนโลยีที่จำลองสภาพแวดล้อมจริงเข้าไปให้เสมือนจริง (Virtual Reality: VR) ไปใช้เพิ่มประสิทธิภาพด้านความปลอดภัยในโรงงาน การทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่องยังคงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อช่วยให้เกิดความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในหลายๆ ด้าน อุตสาหกรรมและองค์กรทุกแห่งล้วนต้องพึ่งพาอาศัยกันอย่างมาก หากพิจารณาไปที่วงการโทรคมนาคมและภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ที่มีความสัมพันธ์ในลักษณะที่เอื้อประโยชน์ต่อกัน เช่น การพัฒนา 5G จะประสบความสำเร็จไม่ได้เลยหากไม่มีการนำไปใช้ให้เห็นผลในภาคอุตสาหกรรม และภาคอุตสาหกรรมเองก็ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีด้านโทรคมนาคมเช่นกัน อย่างไรก็ตามยังมีความท้าทายอีกหลายประการในการนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ เช่น จะต้องลดความซับซ้อนของระบบโครงข่ายการรักษาความปลอดภัยที่รัดกุมต้องมีความคล่องตัวมากขึ้น รวมถึงการมีระบบนิเวศที่แข็งแกร่ง และมีวิธีเดียวที่จะจัดการกับความท้าทายเหล่านี้ได้คือ การใช้ประโยชน์จากความรอบรู้ที่มีร่วมกันของชุมชนหรือคอมมูนิตี้ในด้านนี้ Red Hat ใช้เทคโนโลยีโอเพนซอร์สในการผนึกรวมคอมมูนิตี้ต่างๆ ให้เป็นหนึ่งเดียว และให้การส่งเสริมคอมมูนิตี้เหล่านั้นด้วยระบบนิเวศของโอเพนซอร์ส ซึ่งจะนำผู้คนมารวมกันเพื่อมุ่งความสนใจไปที่การใช้ซอฟต์แวร์แก้ปัญหาที่ทุกคนมีเหมือนกันการมีจุดประสงค์ร่วมกันนี้จะสามารถเปลี่ยนการทำงานที่แยกกันทำให้เป็นการทำงานร่วมกัน และเมื่อเกิดการทำงานร่วมกันแล้ว ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทั่วทั้งอุตสาหกรรม และสะท้อนให้เห็นความต้องการและคุณค่าที่หลากหลาย การทำงานร่วมกันของชุมชนโอเพนซอร์สได้จุดประกายให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างต่อเนื่อง และจะเปลี่ยนอนาคตของเราในหลายแง่มุม อาจกล่าวได้ว่า โอเพนซอรส์ เป็นกลไกที่สร้างนวัตกรรมให้กับภาคอุตสาหกรรมในปัจจุบัน เมื่อใดก็ตามที่เรานำ 5G และ edge computing มาทำงานร่วมกันในลักษณะเดียวกันนี้ เทคโนโลยีที่เกิดใหม่ต่างๆ จะกลายเป็นเทคโนโลยีพื้นฐานที่ใช้กันทั่วไปเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นแล้วกับ Linux และ Kubernetes เพราะเมื่อเกิดการทำงานร่วมกันจะมีเพียงสิ่งเดียวที่เป็นข้อจำกัดของความเป็นไปได้เหล่านี้ ซึ่งนั่นคือจินตนาการของแต่ละคนเท่านั้น

แอปพลิเคชัน-นวัตกรรมหลากหลาย

เคยคิดไหมว่า แอปพลิเคชันต่างๆ บนโทรศัพท์มือถือหรือที่ใช้อยู่ในบ้านของเราจะช่วยให้เราเปลี่ยนเส้นทางการขับขี่ได้แบบเรียลไทม์เพื่อหลีกเลี่ยงการจราจรที่ติดขัด หรือเพื่อติดตามตรวจสอบและอนุญาตให้ใครเข้าประตูบ้านเราได้ ไปจนถึงจุดที่เปลี่ยนวิธีการที่เราสามารถโต้ตอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวและสื่อสารกัน ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้สิ่งต่างๆ ที่กล่าวมานี้เป็นเพียงจินตนาการเท่านั้น เรายังไม่มีคลาวด์ เราอยู่ในช่วงต้นๆ ของการเปลี่ยนผ่านจาก 3G เป็น 4G และสมาร์ทโฟนก็เป็นเรื่องใหม่สำหรับเราในขณะนั้น แต่ในเวลานั้นผู้คนจำนวนมากได้ช่วยกันเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเทคโนโลยีหลักต่างๆ และการที่เทคโนโลยี 3 อย่างมาบรรจบกัน (สมาร์ทโฟน, โครงข่าย 4G และคลาวด์) เป็นการปลดล็อกโอกาสที่ไม่เคยเกิดขึ้นได้มาก่อนอย่างมหาศาล เช่น บริการขนส่งที่ใช้อุปกรณ์เคลื่อนที่ที่ทำงานบนคลาวด์สามารถส่งรถมารับผู้โดยสารจากทุกที่ และพาไปยังทุกที่ตามต้องการ การที่ทำเช่นนี้ได้เป็นเพราะเทคโนโลยีแต่ละอย่างสามารถทำงานผสานกัน เพื่อสร้างบริการที่ไม่เหมือนใครได้อย่างแท้จริงหากขาดเทคโนโลยีใดเทคโนโลยีหนึ่งแอปพลิเคชัน เช่น แอปแชร์รถ ทั่วโลกก็จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป หรือลองนึกภาพว่า คุณกำลังพยายามหา WiFi hotspot ที่มุมถนน หรือหยิบแล็ปท็อปของคุณขึ้นมานอกร้านอาหารในขณะที่ยืนอยู่ท่ามกลางสายฝน หรือเริ่มธุรกิจของคุณด้วยการสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ คุณจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ทำไมการมาบรรจบกันของสมาร์ทโฟน-4G –คลาวด์คอมพิวติ้งจึงเปิดโลก ปัจจุบันเรากำลังสร้างชุดเทคโนโลยีรุ่นต่อไปที่จะกลายเป็นสิ่งที่เข้ามาใกล้ชิดกับการดำเนินชีวิตประจำวันของเรามากยิ่งขึ้น เคยสงสัยไหมว่า ถ้าไม่มีเทคโนโลยีเหล่านี้เราจะทำอย่างไร หรือเราพร้อมหรือยังที่จะใส่เสื้อผ้าที่มีเซนเซอร์ที่คอยมอนิเตอร์และคอยบอกเราว่า สุขภาพของเราเป็นอย่างไร ความเป็นไปได้ของเทคโนโลยี edge นั้นเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นมาก เทคโนโลยีนี้เริ่มด้วยการรวมโลกดิจิทัลและโลกทางกายภาพไว้ด้วยกัน ช่วยในเรื่องการเชื่อมต่อที่กระจัดกระจายให้เข้าถึงได้จากทุกแห่งด้วยการใช้ประโยชน์จาก 5G และแพลตฟอร์ม edge ที่ใช้กันทั่วไป ทำให้เราสามารถเปลี่ยนวิธีการทำงานของเทคโนโลยีต่างๆ ในการโต้ตอบกับโลกทางกายภาพและมันคือการเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่าง

สร้างอนาคตตั้งแต่วันนี้

เรากำลังสร้างโลกใหม่ที่ยากจะจินตนาการนี้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เราไม่คุ้นเคย เพราะเราได้เคยเห็นเรื่องราวลักษณะนี้มาก่อน เราคาดหวังให้เทคโนโลยีใหม่เหล่านี้ช่วยให้โลกของเราใกล้ชิดกันมากขึ้น ติดต่อสื่อสารกันมากขึ้นและง่ายขึ้น และช่วยให้การดำเนินชีวิตประจำวันของเราสะดวกราบรื่นขึ้น แต่สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากปราศจากการร่วมมือกัน   "Edge Computing" Chris Wright รองประธานอาวุโสและหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี Red Hat
คลิกอ่านฉบับเต็ม และบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกันยายน 2564 ในรูปแบบ e-magazine