หลายคนคงเตรียมตัวท่องเที่ยวส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่กันแล้ว จากการฉีดวัคซีนที่ครอบคลุมจนเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ แต่ไม่ทันจะได้เปิดพรมแดนกันอย่างจริงจัง ทั่วโลกก็เริ่มปั่นป่วนอีกครั้งกับโควิด-19 สายพันธุ์ ‘โอไมครอน’ (Omicron) ทำให้นักลงทุนต้องเตรียมรับมือกับความผันผวนที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
สิ่งที่น่าจับตามองคือ สายพันธุ์โอไมครอนที่พบครั้งแรกทางตอนใต้ของแอฟริกาได้รับการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของแอฟริกาใต้ว่า มีการกลายพันธุ์ของยีนรวมกว่า 50 จุด คาดการณ์ว่าน่าจะแพร่ระบาดได้รวดเร็วและง่ายขึ้น แม้แต่องค์การอนามัยโลก (WHO) ก็ยังไม่แน่ใจว่า ยาและวัคซีนยี่ห้อต่างๆ ที่มีอยู่ในตอนนี้จะสามารถยับยั้งหรือป้องกันอาการรุนแรงของโรคจากการกลายพันธุ์ครั้งนี้ได้หรือไม่ หลายประเทศเริ่มประกาศมาตรการงดรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากแอฟริกา ซึ่งหมายความว่า หากพบผู้ป่วยมากขึ้น แผนการเปิดพรมแดนต้อนรับนักท่องเที่ยวของหลายๆ ประเทศอาจต้องชะงักงันไป แม้ว่านักวิทยาศาสตร์หลายคนออกมาแสดงความคิดเห็นว่า อย่าวิตกกังวลมากเกินไป เพราะเชื่อว่าการตรวจพบเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ได้เร็ว จะช่วยให้ควบคุมการแพร่ระบาดได้เร็วขึ้น และมั่นใจว่า ทุกประเทศมีประสบการณ์การควบคุมโรค มียาและวัคซีนที่มีประสิทธิภาพเพียงพอกับการยับยั้งความรุนแรง ซึ่งจะทำให้พวกเราสามารถรับมือการแพร่ระบาดได้ดียิ่งขึ้น โควิด-19 ไม่จบ ธีมเฮลท์แคร์และจีโนมิกส์ยังแรงดีไม่มีตก ข่าวไวรัสกลายพันธุ์สร้างความหวั่นวิตกให้กับนักลงทุนทั่วโลกอยู่เสมอ และผมเชื่อว่า โลกเรายังต้องอยู่กับโควิด-19 ซึ่งไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่ายๆ และจะกลายเป็นโรคประจำถิ่นในเร็ววัน ยิ่งไปกว่านั้นโรคอุบัติใหม่ที่พร้อมจะเกิดขึ้นตลอดเวลา และโรคเดิมๆ ที่ยังไม่มีหนทางรักษาที่ดีพอ ความต้องการยา วัคซีน หรือแนวทางการรักษาใหม่ๆ ยังเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคนบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะตอนนี้หรือในอนาคต ‘ทุกวิกฤต…ย่อมมีโอกาส’ อุตสาหกรรมแฮลท์แคร์และธุรกิจจีโนมิกส์ ก็เป็นหนึ่งในโอกาสของวิกฤตนี้ โควิด-19 กระตุ้นการเติบโตของอุตสาหกรรม ให้เดินหน้าพัฒนาตัวยาและวัคซีน เพื่อต่อสู้กับโรคระบาดอย่างต่อเนื่อง ความสำเร็จแรกของอุตสาหกรรมคือ วัคซีนต้าน โควิด-19 ตัวแรกที่ใช้กันไปแล้วทั่วโลก ทำให้ราคาหุ้นบริษัทพัฒนาวัคซีนเติบโตอย่างก้าวกระโดดตลอดปี 2563 และมาเริ่มอิ่มตัวในปี 2564 แต่เมื่อไม่นานมานี้ บริษัทยาสัญชาติอเมริกันอย่าง Merck ร่วมกับบริษัท Ridgeback Biotherapeutics สามารถพัฒนายา Molnupiravir (โมลนูพิราเวียร์) ยาต้านเชื้อโควิด-19 ตัวแรกของโลก ที่ช่วยลดอัตราการป่วยหนักและเสียชีวิตได้ถึงร้อยละ 50 และสามารถใช้ได้กับทุกสายพันธุ์ ซึ่งข่าวความคืบหน้านี้ ส่งผลให้ราคาหุ้น Merck พุ่งขึ้นกว่าร้อยละ 10 ในเวลาเพียง 1 สัปดาห์เท่านั้นหลังจากการประกาศความสำเร็จ แต่ส่วนทางกับราคาหุ้นบริษัทผลิตวัคซีนอย่าง Moderna BioNTech และ Novavax ที่ดิ่งลงกว่าร้อยละ 20 ในช่วงเวลาเดียวกัน แต่ความสำเร็จของ Molnupiravir ไม่ได้หมายความว่า วัคซีนจะไม่เป็นที่ต้องการอีกต่อไป เพราะเป้าหมายเอาชนะโควิด-19 คือ ยาที่ดีและวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้เราสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติอีกครั้ง ราคาหุ้นของวัคซีนที่ขึ้นๆ ลงๆ เป็นเพียงความเคลื่อนไหวระยะสั้นเท่านั้น ต่อมา Pfizer ในฐานะผู้ผลิตวัคซีนร่วมกับ BioNTech ก็พัฒนายารักษาโควิด-19 ในชื่อ Paxlovid (แพ็กซ์โลวิด) ซึ่งมีข้อมูลจากการทดลองในคนไข้ความเสี่ยงสูงที่เพิ่งติดเชื้อ พบว่า ผู้ได้รับยา Paxlovid มีอัตราป่วยหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาลเพียงแค่ 0.8 เปอร์เซ็นต์ คนไข้เหล่านี้ได้รับยาภายใน 3 วันหลังจากเริ่มแสดงอาการป่วยพบว่า ไม่มีผู้เสียชีวิตในกลุ่มที่ได้รับยา Paxlovid หรือหากให้ยารักษาภายใน 5 วันนับแต่วันที่เริ่มแสดงอาการป่วย กลุ่มผู้ได้รับยา Paxlovid จะมีอัตราการเข้าโรงพยาบาลอยู่ที่ 1 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีผู้เสียชีวิต นี่คือ ความคืบหน้าในแวดวงอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ที่ยังไม่หยุดในการคิดค้นยาและวัคซีน เพื่อมาต่อสู้กับโควิด-19 แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ ปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ไวรัสกลายพันธุ์ ‘โอไมครอน’ ก็ถือกำเนิดขึ้น ซึ่งจะเป็นความท้าทายใหม่ให้บุคลากรแวดวงเฮลท์แคร์ว่า จะหาหนทางอะไรมาต่อสู้กับความรุนแรงของโอไมครอนได้


ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine