รู้จัก ONLINE RETAIL เทรนด์การลงทุนที่เป็นมากกว่าแค่หุ้นเทคโนโลยี - Forbes Thailand

รู้จัก ONLINE RETAIL เทรนด์การลงทุนที่เป็นมากกว่าแค่หุ้นเทคโนโลยี

FORBES THAILAND / ADMIN
15 Oct 2020 | 04:16 PM
READ 2817

อีกไม่นานก็จะเข้าใกล้เดือน 11 ซึ่งนักลงทุนทั่วโลกคงจับตาการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ฯ แต่ในเดือนดังกล่าวก็มีพ่อค้าแม่ค้าทั้งหลายในฝั่งเอเชียก็เฝ้ารอเช่นกันกับต้นกำเนิด ONLINE RETAIL กับเทศกาล “คนโสด” ในวันที่ 11/11 ที่เป็นเทศกาลในการช้อปปิ้งออนไลน์ยักษ์ใหญ่จากหลากหลายแพลตฟอร์ม

ONLINE RETAIL โดยแม้จะมีจุดเริ่มต้นเทศกาลมาจากไอเดียของ Alibaba ที่ปีที่แล้วฟาดยอดขายไป 10,000 ล้านหยวน หรือประมาณ 4.3 หมื่นล้านบาท ภายในเวลา 1 นาทีกว่า แซงหน้าเทศกาล Black Friday และ Prime day ของ Amazon ไปเรียบร้อยแล้ว โดยแม้ตอนนี้จะเริ่มเห็นเทศกาลลดราคาที่ถี่ขึ้น เช่น วันที่ 9/9 หรือ 10/10 ตามแพลตฟอร์มต่างๆ แต่ต้องยอมรับว่าขาช้อปต่างๆ ก็ยังจับตารอวันที่ 11/11 ในปีนี้ที่แม้จะมีโควิด-19 แต่ก็ไม่น่าจะหยุดความร้อนแรงของเทรนด์การขายของออนไลน์ไปได้ ระหว่างที่ธุรกิจร้านค้าและกิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงักเพราะไวรัสโควิด-19 กลับเป็นการส่งเสริมให้ผู้คนรุ่นเก่า ที่ไม่เคยลองใช้เทคโนโลยีต้องหันมาเรียนรู้ ทั้งในการทำงานผ่านทางไกล หรือการซื้อของและสั่งอาหารออนไลน์ก็ตาม สิ่งที่สำคัญคือเมื่อมนุษย์เราได้ใช้เทคโนโลยีที่ทำให้เราสะดวกสบายมากขึ้น หรือตอบสนองความขี้เกียจเราแล้วนั้น ก็จะทำให้พฤติกรรมในการทำงานหรือใช้ชีวิตนั้นถูกเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง โดยผลสำรวจผู้ที่อายุระหว่าง 16-54 ปี กว่าครึ่งนึงตอบว่ามีโอกาสที่จะซื้อของออนไลน์บ่อยขึ้น แม้การซื้อของ Online จะมีมานานสมัยที่เรารู้จัก Website แล้วแต่การเข้ามาของ Smartphone นั้นก็ทำให้อุตสาหกรรมนี้เติบโตขึ้นได้อย่างรวดเร็ว โดยจากรายงานของ We are Social และ Hootsuite ทั่วโลกนั้นมีผู้เคยซื้อของ E-commerce อยู่ที่ร้อยละ 74 แต่ผู้ที่เคยซื้อของผ่านมือถือมีเพียงร้อยละ 52 เท่านั้น โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมามูลค่าการเติบโตของธุรกิจนั้นสูงถึงร้อยละ 18 ต่อปีเลยทีเดียว แสดงให้เห็นถึงโอกาสในการเติบโตไปได้อีกมาก แต่ที่น่าสนใจคือ ประเทศที่มีผู้ซื้อของผ่านมือถือหรือ App อันดับต้นๆ คือ ประเทศอินโดนีเซียร้อยละ 78 และประเทศไทยที่ร้อยละ 71 แต่ประเทศอย่างจีนและสหรัฐฯ นั้นกลับไม่ค่อยนิยมนักโดยการซื้อผ่านออนไลน์อยู่ที่ร้อยละ 58 และร้อยละ 41 ทั้งนี้ส่วนนึงอาจเป็นเพราะยังนิยมซื้อของผ่าน Computer หรือช่องทางอื่นมากกว่า ONLINE RETAIL โดยผู้นำในด้านนี้ก็คงไม่พ้นประเทศมหาอำนาจที่ยังไม่สามารถสงบศึกกันได้อย่าง สหรัฐฯ และจีน โดยในฝั่งสหรัฐฯ นั้นก็มีทั้ง Amazon, Ebay หรือ Shopify ที่เป็นร้านค้า Online ขนาดใหญ่ให้กับทั้งบริษัทยักษ์ใหญ่และ SMEs พร้อมกับระบบชำระเงินชำระเงิน Online ยอดนิยมในฝั่งตะวันตกอย่าง Paypal ที่ Elon musk เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งก่อนหันไปก่อตั้งบริษัท Tesla ในทางฝั่งประเทศจีนก็มีทั้ง Alibaba ที่เป็นเจ้าของ Platform ทั้งร้านค้าอย่าง Taobao, T-mall, AliExpress และ Lazada รวมไปถึงระบบการชำระเงินอย่าง Alipay แถมยังเป็นเจ้าของสื่ออย่าง South China Morning Post อีกด้วย ในส่วนบริษัทอื่นก็มีทั้ง JD.com และ Pinduoduo ก็มาแรงไม่แพ้กันแม้จะยังเน้นการทำตลาดในจีนอยู่ บริษัทที่กล่าวมาข้างต้นไม่ใช่เป็นเพียงแค่หุ้นเทคโนโลยีเท่านั้น แต่เป็นกลุ่มบริษัทที่เปลี่ยน Lifestyles และรูปแบบการทำธุรกิจแบบเก่าที่ไม่ต้องมีหน้าร้าน ที่เป็นรายจ่าย Fix Cost เป็นข้อจำกัดอีกต่อไป และด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงไม่แปลกที่หุ้นหรือ กองทุนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมนี้จะมีผลตอบแทนที่โดดเด่นยิ่งกว่าดัชนีหุ้นทั่วไป หรือหุ้นเทคโนโลยีทั่วไปได้อย่างเห็นได้ชัด โดยตั้งแต่ต้นปี 2020 ที่ผ่านมาแม้ว่าดัชนี Nasdaq จะเป็นที่พูดถึงในเรื่องของผลตอบแทนที่สูงถึงร้อยละ 32 แต่เมื่อเทียบกับ ETF Online Retail อย่าง Amplify Online Retail ETF (+82%) , Pro Shares Online Retail (+81%) หรือ Global X E-Commerce (+53%) หรือแม้กระทั่งหุ้นรายตัวที่กล่าวถึงและอยู่ใน ETF ข้างต้นอย่าง Shopify(+173%), Amazon (+72%) , Paypal (+78%) , Alibaba (+41%) , และ JD.com (+120%) ทั้งนี้หากนำไปเปรียบเทียบกับดัชนีหุ้นทั่วไปอย่าง S&P500 ที่+6% หรือ SET ที่ยังติดลบ -19% นั้นจะเห็นได้ว่าผลตอบแทนค่อนข้างแตกต่างกันอย่างมาก ONLINE RETAIL จะเห็นได้ว่าแม้ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาแม้จะมีข่าวที่ทำให้ตลาดเกิดความผันผวน หรือที่เราเรียกว่า “Noise” ทั้งในเรื่องของโควิด-19 การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และ Brexit แต่การถอยออกมาบ้างแล้วดูแนวโน้มการเติบโตในระยะยาวมากขึ้น และไม่จำกัดตัวเองแค่การลงทุนในดัชนีทั่วไปที่เห็นตามข่าวหนังสือพิมพ์ก็เป็นอีกหนึ่งในวิธีการสร้างผลตอบแทนให้กับพอร์ตการลงทุนโดยเฉพาะการลงทุนในปัจจุบันที่เริ่มมีความนิยมในการลงทุนรูปแบบ Thematic หรือ Megatrends มากขึ้นเรื่อยๆ โดยสำหรับนักลงทุนที่สนใจการลงทุนประเภทนี้นั้น ในปัจจุบันประเทศไทยก็มีทางเลือกในการลงทุนที่หลากหลายมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นกองทุนรวมที่แต่ละบริษัทจัดการคัดสรรมาอย่างดี หรือการเปิดพอร์ตการลงทุนในหุ้นต่างประเทศหรือ ETF โดยตรงผ่านบริษัทหลักทรัพย์ หรือสำหรับลูกค้าที่มีความมั่งคั่งสูงก็สามารถลงทุนผ่าน Structed products ที่บริการ Private Banking จากบริษัทชั้นนำก็ได้เช่นกัน ในวันที่ 11/11 ที่จะถึงนี้เรามาจับตากันดูครับว่า “วันคนโสด” ในปี 2020 นี้ Alibaba จะทำลายสถิติยอดขายและราคาหุ้นของบริษัทตัวเองได้อีกหรือไม่ครับ   บทความโดย ศรชัย สุเนต์ตา กรรมการผู้จัดการ Chief Investment Office บริษัท หลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จำกัด
ไม่พลาดบทความด้านกลยุทธ์องค์กรและธุรกิจ ติดตามเราได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine และ ทวิตเตอร์ Forbes Thailand