ยุคสมัยที่น่าตื่นเต้นที่สุดของมนุษย์ และการปรับตัวบนไหล่ยักษ์ - Forbes Thailand

ยุคสมัยที่น่าตื่นเต้นที่สุดของมนุษย์ และการปรับตัวบนไหล่ยักษ์

ยินดีต้อนรับสู่ยุคสมัยที่โลกของเราจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป หากวันนี้ เราเดินไปตามท้องถนน และถามคนทั่วไปว่าอนาคตในอีก 20 ปีข้างหน้าเป็นอย่างไร? คำตอบส่วนใหญ่ ก็จะมาจากการอนุมานช่วงเวลา 20 ปีที่ผ่านมาว่าเรามีความเจริญก้าวหน้ามากขึ้นเพียงใด ในอีก 20 ปีข้างหน้าก็คงเป็นไปในทิศทางและความเร็วใกล้เคียงกัน แต่ความจริงแล้ว สิ่งที่มนุษย์คาดการณ์ได้ค่อนข้างต่ำกว่าความเป็นจริงมาตลอดคือ อัตราความเจริญก้าวหน้าของวิทยาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น จริง ๆ แล้วอัตราความก้าวหน้าเหล่านี้ไม่ได้เติบโตด้วยความเร็วแบบ Linear หรือแบบความเร็วเท่า ๆ เดิมที่เรารู้สึกกัน แต่เรามีการพัฒนาของเทคโนโลยีที่เติบโตด้วยความเร็วแบบ Exponential ที่เมื่อเวลาผ่านไป ก็มากขึ้นเรื่อย ๆ จะเห็นว่า 5 ปีที่ผ่านมา สังเกตได้ว่า เรามีวิทยาการที่ก้าวหน้าขึ้นมากกว่า 20 ปีก่อนหน้านี้รวมกัน 20 ปีที่ผ่านมา เราก้าวหน้าเร็วกว่า 50 ปีก่อนหน้ารวมกัน 50 ปีมากกว่า 200 ปี 200 ปีมากกว่า 1,000 ปี 1,000 ปีมากกว่า 10,000 ปี ความก้าวหน้าทางวิทยาการแบบ Exponential นี้ เกิดขึ้นกับแทบทุกสิ่งอย่าง ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนในการถอดรหัส DNA ความจุของ Hard Disk ไปจนถึงความเร็วของ CPU คอมพิวเตอร์ ดังคำทำนายที่เรารู้จักกันว่า “กฏของมัวร์” โดย กอร์ดอน มัวร์ ผู้ก่อตั้งบริษัท Intel  ซึ่งมีคำทำนายง่ายๆ ว่า “ปริมาณทรานซิสเตอร์ จะเพิ่มขึ้นทุกหนึ่งเท่าตัวในทุกๆ สองปี” จากจุดเริ่มต้นในปี 1970 ทราบหรือไม่ครับว่ากฎสั้นๆ ประโยคเดียวนี้ ทำให้สี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาเรามีพลังในการคำนวณของคอมพิวเตอร์ เพิ่มขึ้นกว่า 16.7 ล้านเท่าในปี 2017 และช่วงเวลาสั้น ๆ ในอีกสามปีนับจากนี้ ตัวเลขตัวนี้ จะถูกทวีคูณขึ้นเป็น กว่า 130 ล้านเท่า! ความเร็วของคอมพิวเตอร์ในยาน Apollo 11 ที่ส่งนีล อาร์มสตรอง ไปเหยียบดวงจันทร์ นั้นช้ากว่าคอมพิวเตอร์ในเครื่องซักผ้า ที่เราใช้กันในทุกวันนี้เสียอีก เราอยู่ในช่วงเวลาที่เทคโนโลยีและวิทยาการหลาย ๆ แขนงที่เราบ่มเพาะกันมานานนับสิบปี กำลังคุก และสิ่งเหล่านี้ก็พร้อมที่จะระเบิดออกมาในไม่กี่อึดใจข้างหน้านี้เอง จริงๆ แล้ว ช่วงชีวิตที่เหลือของพวกเรานี่แหละ จะเป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นที่สุดตั้งแต่มนุษย์ถือกำเนิดมา ภายในห้าทศวรรษข้างหน้า มีเทคโนโลยีต่างๆ ที่พร้อมจะระเบิดออกมามากมาย ไม่ว่าจะเป็น Internet of Things (IoT), Drone, Virtual/Augmented Reality, รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติและ 3D printing แต่ผมเชื่อว่ามีอยู่ 5 สิ่ง ที่จะเปลี่ยนแปลงมนุษยชาติไปโดยสิ้นเชิง และ 5 สิ่งนั้นคือ 1.    Autonomous Driving (ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ) นี่น่าจะเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงในระยะเวลากันใกล้ที่สุด ในอีก5-6ปีข้างหน้านั้น หากรถยนต์คันไหนออกมาแล้วไม่มีระบบนี้ จะถือว่าล้าสมัย แต่เทคโนโลยีนี้ ไม่ใช่แค่ทำให้เราสะดวกสบายขึ้นเท่านั้น แต่จะกระทบต่อเราในวงกว้าง อุตสาหกรรมหลาย ๆ อุตสาหกรรม การกระจายตัวของเมือง อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ การขนส่งสินค้า ธุรกิจค้าปลีก รูปแบบการใช้ชีวิตของเรา จะเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง 2.    Artificial Intelligence (ปัญญาประดิษฐ์) แม้ว่าตอนนี้เราจะได้ยินการถกเถียงว่าอาชีพไหนจะถูกปัญญาประดิษฐ์แย่งงาน แต่ในอนาคตเมื่อถึงจุดที่ AI มีความฉลาดล้ำกว่ามนุษย์ หรือที่เรียกกันว่า Singularity ทุกสิ่งอย่างไปจนถึงรากฐานของเผ่าพันธุ์มนุษย์ของเรา จะถูกพลิกโฉมหน้าไปโดยสิ้นเชิง 3.    Neuroscience (ประสาทวิทยาศาสตร์) กว่าแสนปีที่เผ่าพันธุ์ที่เรียกว่า Homo Sapiens อย่างพวกเราถือกำเนิดมา ตั้งแต่ยุคที่มนุษย์ทุกคนต้องหาอาหาร ล่าสัตว์เพื่อความอยู่รอด ร่างกายและสมองของเรานั้นไม่ได้ถูกพัฒนาเปลี่ยนแปลงตามสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว นี่คือเทคโนโลยีที่ข้อจำกัดต่าง ๆ ในการติดต่อสื่อสารผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้าของเราจะถูกทำลายลง เราจะสามารถอ่านและเขียนลงบนชิปคอมพิวเตอร์ได้ผ่านความคิดของเราภายในเศษเสี้ยววินาที 4.    Space Exploration จากการแข่งขันในเทคโนโลยีด้านอวกาศที่เพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน ทำให้ต้นทุนต่างๆ ของการส่งวัตถุไปนอกโลกนั้นลดลงเรื่อยๆ ในอนาคตอันใกล้ จรวดเราไม่จำเป็นต้องใช้แล้วทิ้งเหมือนที่ผ่านมาอีกต่อไป ต้นทุนการส่งจรวดจะเหลือแค่ค่าเชื้อเพลิงต่าง ๆ และสามารถยิงกลับขึ้นไปใหม่ในช่วงเวลาหลักชั่วโมง ซึ่งต้นทุนที่ลดลงเช่นนี้จะทำให้ ตั้งแต่ส่งดาวเทียมนับหมื่นดวงที่ครอบคลุมทั่วโลกแบบ Skynet ไปจนถึงส่งมนุษย์ มนุษย์ไปตั้งรกรากอย่างถาวรบนดาวอังคาร 5.    Genome Editing (การตัดแต่งพันธุกรรม) ด้วยเทคโนโลยีใหม่ ที่เรียกว่า CRISPR ที่ทำให้ต้นทุนในการตัดต่อ DNA ลดลงอย่างมหาศาล และสามารถตัดแต่งพันธุกรรมได้ในแลปและอุปกรณ์ทั่ว ๆ ไป การพัฒนาของเทคโนโลยีนี้ ส่งผลให้การตัดแต่งพันธุกรรมของมนุษย์ ตั้งแต่ป้องกันโรคทางพันธุกรรมต่างๆ ไปจนถึงทำให้ร่างกายส่วนต่างๆ แข็งแรงกว่าเดิม หน้าตาดีกว่าเดิม ฉลาดกว่าเดิม ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ แม้ว่าการถกเถียงในมุมมองด้านศีลธรรมจะเกิดขึ้นมากมาย แต่เทคโนโลยีเหล่านี้ จะมุ่งไปสู่ การเกิดของ Superhuman จะเกิดขึ้นมากมายในอนาคต เทคโนโลยีทั้ง 5 นี้ จะเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางและส่งผลกระทบในทั้งด้านดีและร้าย ภายในช่วงชีวิตของพวกเรานี้เอง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่ากลัวกว่าเทคโนโลยีเหล่านี้ คือการปรับตัวของมนุษย์เมื่อเทียบกับความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยี
[Graph by Thomas Friedman- https://www.rollingstone.com/politics/features/official-thomas-friedman-make-a-meaningless-graph-contest-w452465]
nbsp; จากกราฟนี้จะเห็นได้ว่าเรากำลังอยู่ในจุดที่ ปัจจุบันมนุษย์ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีต่างๆ ใน และระยะห่างนี้ กำลังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ "วัตถุที่หยุดนิ่งจะหยุดนิ่งอยู่กับที่ ตราบที่ไม่มีแรงภายนอกมากระทำ” เคยได้ยินกฏข้อนี้กันไหมครับ กฏที่ถูกเขียนไว้เมื่อปี 1686 หรือเมื่อสามร้อยกว่าปีมาแล้ว กฏที่สามารถนำไปใช้กับการสร้างนาฬิกาลูกตุ้ม ไปจนถึงประทับรอยเท้าของนีล อาร์มสตรองบนดวงจันทร์ และส่งดาวเทียมเป็นพันๆ ดวง โคจรรอบโลกเราอยู่ทุกวันนี้ ใช่ครับ นี่คือกฎข้อที่หนึ่งของ เซอร์ ไอแซค นิวตัน บุรุษผู้ที่ได้ชื่อว่า เป็นนักวิทยาศาสตร์คนแรก และเป็นพ่อมดคนสุดท้าย เขาคือผู้ที่เปิดบานประตูให้โลกได้รู้จัก ฟิสิกส์ และวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ในระหว่างที่เขาพยายามครุ่นคิดว่าทำไมลูกแอปเปิ้ล ถึงตกลงพื้น แทนที่จะลอยขึ้นไปบนอากาศ คณิตศาสตร์ที่มีในยุคสมัยนั้น มันไม่เพียงพอที่จะคำนวณ และพิสูจน์ภาพของสมการที่มีอยู่ในหัวของเขา สุดท้ายแล้ว เขาจึงประดิษฐ์ศาสตร์แขนงใหม่ของคณิตศาสตร์ขึ้นมา ที่เราเรียกกันว่าคือ แคลคูลัส แคลคูลัส และกลศาสตร์สมัยใหม่ของนิวตัน กลายเป็นสิ่งที่คนรุ่นหลังได้ศึกษา ต่อยอด และพัฒนา จนเกิดเป็นโลกสมัยใหม่ของเราอย่างทุกวันนี้ รู้ไหมครับ ว่าวันที่นิวตันคิดค้นสมการเหล่านี้ขึ้นมา เด็กหนุ่มผู้นี้มีอายุเพียงแค่ 23 ปีเท่านั้นเอง แต่นักวิทยาศาสตร์ก้องโลกคนนี้ได้กล่าวไว้อย่างถ่อมตัวว่า "ถ้าฉันมองเห็นได้ไกลกว่า นั่นก็เพราะฉันยืนอยู่บนไหล่ของยักษ์” นิวตันไม่เคยคิดว่า เขาเป็นคนที่ค้นพบกฏแห่งจักรวาลแต่เพียงผู้เดียวเลย เขาคิดว่าที่เขาคิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้ เพราะเขาเพียงแค่ต่อยอดการค้นหาของ นักวิทยาศาสตร์ก่อนหน้าเขาอย่าง โคเปอร์นิคัส เคปเลอร์ กาลิเลโอ บาโรว และอีกมากมายต่างหาก องค์ความรู้ที่สะสมมาของมวลมนุษยชาติทั้งหมดเปรียบเสมือนยักษ์ และเราเกิดมา โดยที่ไม่ต้องเริ่มสร้างองค์ความรู้เหล่านี้ขึ้นมาจากศูนย์ เพียงแค่ยืนบนไหล่ของยักษ์เหล่านี้ เราก็สามารถมองออกไปได้ไกลขึ้นอีกมากมาย ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าพลังแห่งเทคโนโลยีปฏิวัติโลกเหล่านี้ กำลังจะไหลบ่าเข้ามา และถาโถมเข้ามามากขึ้นกว่าวันนี้มากมายนัก สิ่งสำคัญที่สุดคือ ผู้ที่จะปรับตัวได้ ไม่ใช่คนที่ยืนอยู่บนพื้น แต่คือคนที่เปลี่ยนกระบวนทัศน์ความคิด ปีนขึ้นมายืนบนไหล่ยักษ์ และมองไปให้ไกลกว่าเดิม พร้อมที่จะมายืนบนไหล่ของยักษ์ด้วยกันรึยังครับ?