แชร์ลูกโซ่ ทำไมถึงได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน - Forbes Thailand

แชร์ลูกโซ่ ทำไมถึงได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน

จากแชร์แม่ชม้อย แชร์ชาร์เตอร์ แชร์ยูฟัน แชร์แม่มณี แชร์ Forex-3D เราจะพบว่าจำนวนผู้เสียหายใน แชร์ลูกโซ่ แต่ละเคส จากมีจำนวนคนมากมายตั้งแต่ระดับหลายพันคน จนถึงหลักหมื่นคน

ไม่ใช่เฉพาะเรื่องของผลตอบแทนที่แชร์แต่ละวงเสนอให้สูงมากจนชักชวนคนเข้ามาได้ แต่ยังมีเหตุผลทางด้านเศรษฐกิจ-สังคม-วัฒนธรรม เข้ามาประกอบด้วย

1. คนไทยคุ้นชินกับระบบ การรับโดยไม่ต้องทำ

สังคมไทยพัฒนามาจากสังคมศักดินา มีผู้ปกครอง และผู้ที่อยู่ภายใต้การปกครอง ผู้ที่อยู่ภายใต้การปกครองเคยชินกับการได้รับจากผู้ที่อยู่เหนือกว่า ดังนั้น การเสนอผลตอบแทนให้ร้อยละ 10 ต่อเดือน สำหรับคนที่เคยชินกับการได้รับ จึงถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าคนที่อยู่ในวงการเทรด วงการการลงทุน หรือวงการธุรกิจจริงๆ จะรู้ว่า การสร้างผลตอบแทนในระดับ 10% ต่อเดือน หรือ 120% ต่อปี ( คิดระบบ flat rate) เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ จริงอยู่ในปีที่ตลาดหุ้นขี้นเป็นสภาวะกระทิง หลายคนสามารถทำได้ แต่ไม่มีใครที่จะสามารถรักษาผลตอบแทนในระดับนั้นทุกปี Warren Buffett นักลงทุนที่รวยที่สุดในโลก ทำผลตอบแทนย้อนหลังได้ประมาณ 21.9% ต่อปี ( วัดผลประมาณ 40 ปี ) Peter Lynch ผู้จัดการกองทุน  Fidelity Magellan Fund สามารถทำผลตอบแทนย้อนหลังได้ 29.2% ต่อปี ( 1977-1990 ) Ray Dalio ผู้ก่อตั้งกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก Bridgewater Associates ทำผลตอบแทนย้อนหลังได้ 16.3% ต่อปี สามท่านที่ผมกล่าวมาคือนักลงทุนและผู้จัดการกองทุนระดับโลก ไม่มีใครสามารถทำผลตอบแทนได้ร้อยละ 120% ต่อปีสักคน ไม่ใช่เพราะว่า คนไทยเก่งกว่า แต่เพราะมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ การทำธุรกิจ ส่วนใหญ่ ROI ที่มากกว่า 10% ต่อปี ถือว่าเป็นเรื่องที่เริ่มน่าสนใจแล้ว นั่นแปลว่า ธุรกิจนี้จะสามารถคืนทุนได้ภายใน 10 ปี ถ้า ROI = 20% แปลว่าคืนทุนได้ภายใน 5 ปี คุณสามารถเอาโปรเจกต์ไปขายให้กับบริษัทใหญ่ๆ ได้สบายๆ ผมเคยเห็นคนทำธุรกิจ PUB&RESTAURANT ถ้าบังเอิญจับทำเลได้ จังหวะได้ อาจคืนทุนได้ภายในครึ่งปีหรือไม่เกินหนึ่งปี คิดเป็น ROI = 100% แต่ส่วนใหญ่ทำได้เป็นครั้งเป็นคราวไป คนเปิดธุรกิจแบบนี้มีมากกว่าที่ต้องเลิกกิจการ การทำ BITCOIN MINING เคยสร้างผลตอบแทนประมาณ 100-150% ต่อปี ตอนที่ราคา BTC ขึ้นไปที่ 20,000 usd แต่ทำได้แต่ปีเดียว ปีต่อมาราคา BTC ลงมาเหลือ 5,000 เหมืองปิดกันระนาว ผมย้ำอีกครั้ง การทำผลตอบแทนในระดับ 100% ต่อปีขึ้นไป ในระยะยาว เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เมื่อขนาดของเงินลงทุนมากขึ้น หรือมีคู่แข่งเข้ามาในอุตสาหกรรม สังคมควรตระหนักว่า ไม่มีอะไรที่ได้มาฟรี ( there is no free lunch ) และอะไรที่ดูดีกว่าความเป็นจริง มักเป็นเรื่องโกหกเสมอ ( too good to be true is fake ) คนบางคนขยันแทบตาย ทำงานหามรุ่งหามค่ำยังไม่สามารถทำผลตอบแทนในระดับ 100% ต่อปีได้เลย นับประสาอะไรกับการเอาเงินไปฝากให้คนอื่นลงทุน นั่งกระดิกเท้ารอรับผลตอบแทนอย่างเดียว  

2. เศรษฐกิจในระบบคนค้าขายรายเล็กๆ เงียบมาก

ถ้าเราไปดูตัวเลข GDP หรือไปดูผลประกอบการของบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์ เราอาจเห็นว่ามีการลดลงของกำไรบ้างเล็กน้อย แต่ถ้าลองไปถามชาวบ้านร้านตลาด คนทำธุรกิจเล็กๆ ตอนนี้พวกเขาแต่ละคน รายรับลดลงไปมากกว่า 50% สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะธุรกิจรายใหญ่ลงมาทำธุรกิจแข่งกับรายเล็กแย่งตลาดไปจนแทบไม่เหลือที่ว่าง และผลจากการปฏิวัติทางเทคโนโลยี ( digital disruption ) เมื่อรายรับลดลงไม่พอรายจ่าย การที่แชร์เสนอผลตอบแทนที่จูงใจ อาจเป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ที่เป็นความหวังของพวกเขา จะเอาไปฝากธนาคารก็เจอดอกเบี้ย 0.5-1.75% ต่อปี ลงทุนในหุ้นปันผล ได้ 8% ต่อปี แต่ราคาหุ้นลง ไปเทรดสินค้าอนุพันธ์ไม่มีความรู้ความเข้าใจอย่างแท้จริงก็เอาเงินไปละลายหมด ดังนั้น แชร์ที่เสนอผลตอบแทนที่แน่นอน จึงกลายเป็นความหวังสุดท้ายของพวกเขา แต่หารู้ไม่ว่า ผลตอบแทนที่แน่นอนคือ return ในระดับ 0% ต่อปี และ maximum drawdown 100% คือสูญเงินลงทุนทั้งหมด  

3. ลัทธิการอวดความรวยบน IG , Facebook คือตัวเร่งปฏิกิริยา

เด็กรุ่นใหม่หลายคนนอกจาก อยากรวยเร็วๆ อยากรวยง่ายๆ แล้ว ยังเสพติดกับการอวดร่ำอวดรวยในสื่อสังคมออนไลน์ เราจะพบว่า การถ่ายภาพคู่กับรถสปอร์ต นาฬิกาหลักล้าน กระเป๋าแบรนด์เนม เรือยอชท์ เครื่องบินส่วนตัว บ้านพักตากอากาศ คฤหาสน์ เป็นภาพที่พวกเราพบเห็นบ่อยๆ ใน IG คนดัง เมื่อเห็นคนอื่นมี บางคนที่รู้ไม่เท่าทันก็อยากมีบ้าง ดังนั้นวงแชร์พวกนี้เข้าใจจิตวิทยามนุษย์ จึงใช้เรื่องดังกล่าวข้างต้น เป็น theme หลักในการชักชวนคนมาลงทุน ผมศึกษาทางด้านการตลาดมา ผมจึงเข้าใจว่า demand ในเรื่องดังกล่าว เกิดจากจิตวิทยาของมนุษย์ที่ต้องการรู้สึกเป็นคนพิเศษมากกว่าผู้อื่น ได้รับการยอมรับ หาใช้ utility ที่แท้จริงของสินค้านั้น  

4. ไม่ใช่ไม่รู้ แต่มั่นใจว่าลุกทัน

หลายคนรู้ว่าเป็นแชร์ลูกโซ่ แต่กล้าลงเพราะไม่คิดว่าตัวเองจะลุกเป็นคนสุดท้าย ผมคิดว่าคนส่วนใหญ่ฉลาดพอที่จะเรียนรู้ว่า ผลตอบแทนดังกล่าวไม่ใช่เรื่องจริง อย่างแชร์แม่มณี เสนอผลตอบแทนให้ร้อยละ 95 ต่อเดือน ไปถามเด็กประถม คิดว่าเด็กประถมยังรู้เลยว่าโกหก แต่หลายคนยอมเสี่ยง เพราะคิดว่าถอนทุนทัน วงแชร์ที่ว่ากันว่า หลายพันล้าน หรือเป็นหมื่นล้าน จริงๆ มันถูกถอนทุนไปวนจ่ายหลายรอบแล้ว ตัวเลขจึงดูสูงกว่าปกติ  

5. แม่ทีม กับระบบผลตอบแทน

เรื่องแบบนี้ทำคนเดียวไม่ได้ แชร์ลูกโซ่ หลายๆ วงมีการเสนอผลตอบแทนในระดับสูงให้กับแม่ทีมที่หาลูกค้ามาให้ แม่ทีมใช้ความสนิทสนมส่วนตัว เพื่อชักจูงให้คนมาลงทุน โดยตามธรรมชาติของมนุษย์ มนุษย์มักจะเชื่อคนรู้จักใกล้ตัว หารู้ไม่ว่าคนใกล้ตัวที่มาชักชวนได้ค่าคอมมิชชั่นมหาศาล เมื่อระบบผลประโยชน์ทำงาน จึงมีคนจำนวนมากเข้าร่วมทั้งในส่วนของ หัวหน้าทีม และลูกค้า ========================================= ทุกคนอยากรวย แต่บางคนคิดว่า นั่งๆนอนๆ รอถูกหวยก็รวยได้ หรืออาจมีคนใจดีแบ่งเงินมาให้ใช้โดยการเสนอผลตอบแทนร้อยละ 95 ต่อเดือน คิดอย่างนี้ อีกสิบชาติก็ไม่มีวันรวย ในความเป็นจริง คาถาความรวย พระพุทธเจ้าท่านทรงสั่งสอนไว้ตังแต่ 2500 ปีที่แล้ว มีแค่สี่ข้อ ฉันทะ - Passion วิริยะ - Training & Educating จิตตะ - Concentrates & Focus วิมังสา - Wisdom บวกกับความคิดแกนหลักที่ว่า อตตาหิ อตโน นาโถ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ถ้าคุณมีสี่ข้อข้างต้นได้ครบ ผมเชื่อว่าทุกคนสามารถรวยได้โดยไม่ต้องพึ่งใคร
ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine