หนึ่งในคำถามยอดฮิตที่มักจะมีคนถามอยู่เสมอก็คือ หากจะตัดสินใจซื้อบ้าน-คอนโดฯ สักยูนิตต้องพิจารณาเลือกจากอะไร? แน่นอนว่ามีหลายคำตอบที่ผุดขึ้นมา และในจำนวนนั้นต้องมีคนที่ให้น้ำหนักความสำคัญกับเรื่องของ “ทำเล” ในขณะที่บางคนอาจจะแย้งว่าในยุคที่ราคาที่ดินแพงแบบนี้จะดูแต่ทำเลคงไม่ไหว ต้องให้ความสำคัญกับ “ราคา” มากกว่าไหมถึงจะสมเหตุสมผล
“ทำเลดี” มัดใจไปกว่าครึ่ง
เมื่อไม่นานมานี้ DDproperty ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคกว่า 600 รายในเขตกรุงเทพฯ – ปริมณฑลที่มีต่อสภาพตลาดที่อยู่อาศัยในปัจจุบัน และหนึ่งในคำถามที่เราถามเป็นหัวข้อเกี่ยวกับปัจจัยที่ผู้บริโภคเหล่านั้นใช้ในการพิจารณาเมื่อต้องตัดสินใจซื้อบ้าน (หมายรวมถึงคอนโดฯ และที่อยู่อาศัยประเภทอื่นๆ) เป็นของตนเอง ผลปรากฎว่า 91% ของผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสำคัญกับเรื่องของทำเลเป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งไม่แตกต่างจากผลการสำรวจใน 2 รอบก่อน ที่ผู้บริโภคไทยมากกว่า 90% เล็งเห็นความสำคัญของการมีบ้านในทำเลที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของตน
นอกจากผู้บริโภคไทยแล้ว ผู้บริโภคในประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงอย่างมาเลเซีย และอินโดนีเซีย ก็ให้ความสำคัญกับเรื่องของทำเล เมื่อต้องตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยเช่นกัน โดยจากผลการสำรวจความคิดเห็นของเว็บไซต์ในเครือ PropertyGuru Group (ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ DDproperty ในประเทศสิงคโปร์) ในประเทศมาเลเซียอย่าง
PropertyGuru.com.my และ
Rumah.com ในอินโดนีเซียพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามในมาเลเซียถึง 96% และ 92% ในอินโดนีเซีย พิจารณาถึงทำเลที่ตั้งของที่อยู่อาศัยที่ตนจะซื้อก่อนปัจจัยอื่นใด
“ราคา” ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของคนยุคใหม่?
แม้ว่าเมื่อ 2 ปีก่อน
“ราคา” จะเป็นปัจจัยที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญมากเป็นอันดับสอง แต่จากผลการสำรวจล่าสุด กลับพบว่า นอกจากเรื่องของทำเลแล้ว ปัจจัยรองๆ ลงมาที่ผู้บริโภคไทยยุคใหม่ให้ความสำคัญกลับเป็นเรื่องของระบบสาธารณูปโภค-สิ่งอำนวยความสะดวก ตามมาด้วยปัจจัยด้านความปลอดภัยของการอยู่อาศัยในทำเลนั้นๆ ที่ผู้บริโภคในปัจจุบันให้คะแนนความสำคัญเท่าๆ กับเรื่องของราคา ผลการสำรวจดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่า คนในยุคปัจจุบันให้ความสำคัญกับ
“คุณภาพของการใช้ชีวิต” ที่รายล้อมไปด้วยความสะดวกสบาย ไม่ว่าจะเป็นการอยู่อาศัยใกล้กับแนวรถไฟฟ้า จุดขึ้น-ลงทางด่วน ไม่ไกลจากศูนย์การค้า ร้านอาหาร โรงพยาบาล ธนาคาร ฯลฯ และที่สำคัญอยู่แล้วรู้สึกปลอดภัย แม้ปัจจัยเหล่านี้จะต้องแลกกับการที่ต้องจ่ายแพงขึ้นอีกระดับหนึ่งก็ตาม
บ้านใหม่ vs บ้านมือสอง
แม้ว่าการเป็นเจ้าของบ้านใหม่แกะกล่องจะเป็นความฝันของแทบจะทุกคน แต่ในยุคที่ราคาบ้าน-คอนโดฯ ปรับตัวสูงขึ้นตามแนวโน้มราคาที่ดินและต้นทุนอื่นๆ ในการก่อสร้าง การเป็นเจ้าของบ้านใหม่อาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่เป็นไปได้สำหรับทุกคนที่อยากมีบ้าน จากผลสำรวจล่าสุด แม้ผู้บริโภคส่วนใหญ่เลือกที่จะซื้อบ้านใหม่ แต่สัดส่วนของผู้ที่เปิดกว้างสำหรับบ้านมือสองค่อยๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้น จากช่วงกลางปี 2560 ที่มีสัดส่วนราว 9% มาเป็น 18% ในรอบการสำรวจช่วงปลายปี เมื่อมองไปยังตลาดประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย และอินโดนีเซียพบว่ามีแนวโน้มที่เป็นไปในทางเดียวกัน มีเพียงแต่ผู้บริโภคชาวสิงคโปร์เท่านั้นที่นิยมเลือกซื้อบ้านมือสองมากกว่าบ้านใหม่ เนื่องจากราคาที่อยู่อาศัยในแดนลอดช่องนั้นมีราคาที่สูงมากนั่นเอง
เมื่อถามถึงทำเลที่อยู่ในความสนใจพบว่า โซนกรุงเทพฯ รอบนอกยังคงเป็นพื้นที่ที่อยู่ในความนิยมของผู้บริโภค โดยผู้ที่เลือกซื้อในพื้นที่นี้มักจะซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง ตามมาด้วยทำเลใกล้ใจกลางกรุงเทพฯ อย่าง รัชดาฯ ลาดพร้าว พระราม 9 และสุขุมวิทตอนปลายอย่างพระโขนง อ่อนนุช อุดมสุข ที่วัตถุประสงค์ในการซื้อระหว่างเพื่ออยู่อาศัยเองและลงทุนมีสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน ในขณะที่ทำเลไพร์มใจกลางเมือง อย่างสุขุมวิทตอนกลาง เพลินจิต ชิดลม ซึ่งระดับราคาขาย (คอนโดมิเนียมเปิดใหม่) ในปัจจุบันเริ่มต้นที่ไม่ต่ำกว่า 200,000 บาทต่อตารางเมตร ในขณะที่กลุ่มผู้ซื้อซึ่งเป็นกลุ่มไฮเอนด์มีทั้งซื้อเพื่ออยู่เองและลงทุนในระยะยาว
DDproperty จัดทำแบบสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคเป็นประจำทุก 6 เดือนผ่านแบบสอบถามออนไลน์ เพื่อสำรวจความคิดเห็นที่มีต่อสภาพตลาดที่อยู่อาศัย รวมไปถึงแนวโน้มและปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคในปัจจุบัน โดยกลุ่มผู้ตอบแบบสอบถามมีอายุตั้งแต่ 21-69 ปี
DDproperty.com เว็บไซต์สื่อกลางอสังหาริมทรัพย์อันดับหนึ่ง ที่รวบรวม
ทิปส์ในการซื้อขายอสังหาฯ และ
รีวิวโครงการใหม่ ทั้งไทยและอังกฤษ ไว้กว่า 10,000 บทความ