จากงาน TDRI Annual Public Conference 2022 “ทำอย่างไรให้ประเทศไทยหนุ่มสาวขึ้น” เปิดประเด็นปัญหาความเชื่องช้าของประเทศไทยในหลายด้าน เปรียบเทียบคล้ายคนสูงวัยที่เดินช้า สายตาพร่ามัว จนก้าวไม่ทันหลายประเทศ ทำให้ขาดเสน่ห์ในสายตาของนักลงทุนเมื่อเทียบ กับประเทศเพื่อนบ้าน
นอกจากนี้ ยังเกิดปัญหาที่คนแต่ละรุ่นมีค่านิยมที่แตกต่างกันทำให้เสี่ยงต่อการเกิดความขัดแย้ง และทำให้ประเทศไทยไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ แนวทางในการแก้ปัญหาต้องแก้ไขที่ต้นเหตุคือ การจัดการความขัดแย้งแห่งช่วงวัย
ประเด็น “การจัดการความขัดแย้งแห่งช่วงวัย” ชี้ให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของโลกและประเทศไทย เนื่องจากคนมีอายุยืนยาวขึ้นอย่างต่อเนื่องประเทศไทยจึงมีคนอย่างน้อย 6 รุ่นอยู่ร่วมกัน ในขณะที่สภาพแวดล้อมภายนอกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ความขัดแย้งระหว่างช่วงวัยเห็นได้ชัดเจนขึ้น และทำให้ขาดส่วนร่วมของรุ่นคนที่หลากหลายในการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะ “คนรุ่นใหม่” ไทยจึงเหมือน “คนสูงวัยที่ไร้พลังสดใหม่”
ปัญหาความขัดแย้งของคนต่างวัยที่มีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจแตกต่างกันนำมาซึ่งความต้องการที่ต่างกัน แต่เป็นสิ่งที่จัดการได้ เช่น คนหนุ่มสาวต้องการการศึกษาที่มีคุณภาพ สวัสดิการเด็กเล็ก และเป็นห่วงเรื่องการว่างงาน ขณะที่คนวัยเกษียณห่วงเรื่องเงินออมและเงินเฟ้อ มีความต้องการบำเหน็จ บำนาญ และการรักษาพยาบาล
ความขัดแย้งของคนต่างวัยยังมาจากค่านิยมที่ต่างกัน เห็นได้จากคนรุ่นใหม่ต้องการนวัตกรรมใหม่เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม แต่คนรุ่นเก่าอาจยังยึดติดโดยอนุรักษ์สิ่งที่ตนคิดว่าดีงามไว้เป็นสำคัญ และคนอายุมากยังมักมองคนหนุ่มสาวในแง่ที่ไม่ถูกใจนัก เช่น เมื่อปี 2558 นิตยสาร TIME ขึ้นหน้าปก The Me Me Me Generation ที่กล่าวถึงคนเจเนอเรชั่น Y ว่า คนรุ่นนี้ขี้เกียจ เห็นแก่ตัว และหลงตัวเอง ขณะที่พึ่งตัวเองไม่ได้ต้องพึ่งพ่อแม่
รายงานลักษณะนี้ยังสร้างภาพจำต่อคนรุ่นต่างๆ ในทางที่ไม่น่าพึงประสงค์ เช่น เจเนอเรชั่น Alpha ที่เป็นคนรุ่นใหม่ที่สุดถูกมองว่าฉลาดกว่าทุกรุ่น แต่ขาดความอดทน ส่วนเจเนอเรชั่น Z มีความรู้ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ แต่ไม่ชอบความลำบาก
ต่างวัยต่างความคิด
ภาพจำของคนแต่ละรุ่นมักถูกนำมาใช้ในการบริหารงานบุคคลและการทำการตลาดทั้งที่ไม่มีหลักฐานสนับสนุน ทำให้เกิดภาพจำที่ผิดและทำให้คนแต่ละรุ่นเสี่ยงต่อการขัดแย้งกันมากขึ้น เพราะคิดว่าความแตกต่างของคนแต่ละรุ่นเกิดจากปัจจัยรุ่นคน (cohort effect) เท่านั้น
โดยละเลยต่อปัจจัยด้านวัฏจักรชีวิต (life-cycle effect) เช่น เมื่ออายุมากขึ้นคนทุกรุ่นจะสนใจเรื่องสุขภาพมากกว่าปัจจัยจากเหตุการณ์ใหญ่ที่เกิดในช่วงนั้น (period effect) เช่น หากเกิดการก่อการร้ายหรือโรคระบาดใหญ่ คนทุกรุ่นจะมีทัศนคติที่เปลี่ยนแปลงไป และปัจจัยของประเทศที่อยู่ (country effect) ซึ่งมีผลต่อค่านิยมและวัฒนธรรมของคนทุกรุ่นในประเทศนั้น
ข้อมูลจาก “การสำรวจค่านิยมของประเทศต่างๆ ในโลก” (World Value Survey) ซึ่งมีการสำรวจในประเทศไทยแล้ว 3 รอบโดยสถาบันพระปกเกล้า เพื่อทำความเข้าใจค่านิยมด้านการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ความเชื่อมั่นต่อสถาบันต่างๆ ของคนไทย 5 รุ่น (ไม่รวมรุ่น Alpha ซึ่งยังมีอายุน้อยมาก)
ได้แก่ รุ่นก่อนสงคราม ซึ่งเกิดก่อนปี 2488 ปัจจุบันมีอายุเกิน 75 ปี รุ่นเบบี้บูม ซึ่งเกิดช่วงปี 2488-2508 อายุ 56-75 ปี รุ่นเจน X ซึ่งเกิดช่วงปี 2509-2522 อายุ 41-55 ปี รุ่นเจน Y (มิลเลนเนียล) ซึ่งเกิดช่วงปี 2523-2538 อายุ 25-40 ปี และรุ่นเจน Z ซึ่งเกิดช่วงปี 2539-2553 อายุน้อยกว่า 25 ปี แต่ละรุ่นมีมุมมองที่ต่างกัน
ด้านการเมืองโดยรวมคนไทยคิดว่าประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่ดีแต่คนหลายรุ่นเห็นว่าประชาธิปไตยเป็นสิ่งดีลดลง ซึ่งอาจเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดความผิดหวังต่อประชาธิปไตยที่เกิดทั่วโลก โดยคนไทยทุกรุ่นมององค์ประกอบประชาธิปไตยว่า รัฐบาลต้องมาจากการเลือกตั้ง ต้องช่วยเหลือประชาชนเรื่องการว่างงาน ปัญหาปากท้อง และมองว่าสิทธิของพลเมืองต้องได้รับการคุ้มครอง
ด้านเศรษฐกิจ
โดยรวมคนไทยอยากเห็นเศรษฐกิจเติบโตในระดับที่สูง แต่มีความรู้สึกก้ำกึ่งระหว่างการสร้างความเท่าเทียมทางรายได้และการจูงใจให้คนมีความพยายามมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีความรู้สึกก้ำกึ่งว่าความสำเร็จเกิดจากทำงานหนักหรือเกิดจากโชคและเครือข่ายด้านวัฒนธรรม
ด้านคอร์รัปชัน โดยรวมเชื่อว่าประเทศไทยมีการทุจริตค่อนข้างมาก โดย 45% เชื่อว่าเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่หรือทั้งหมดทุจริต และไม่คิดว่าการไม่จ่ายค่ารถสาธารณะ การโกงภาษี และการรับสินบนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้
ด้านความเชื่อมั่นต่อสถาบันต่างๆ โดยรวมแล้วคนไทยเชื่อมั่นต่อสถาบันตุลาการมากที่สุด ตามด้วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และทหาร แต่มีความเชื่อมั่นต่อนักการเมืองและพรรคการเมืองน้อย และขณะเดียวกันความเชื่อมั่นต่อสถาบันตุลาการในช่วงหลังลดลงเล็กน้อย ขณะที่ความเชื่อมั่นต่อทหารลดลงมากในการสำรวจรอบสุดท้าย
ในการสำรวจรอบสุดท้ายมีสิ่งที่น่ากังวลคือ คนรุ่นเจน Z คิดว่าต้องเปลี่ยนแปลงสังคมด้วยการปฏิวัติมากกว่ารุ่นอื่นๆ และเชื่อมั่นในการปฏิรูปน้อยกว่ารุ่นก่อนหน้า ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะไม่เห็นความสำเร็จจากการปฏิรูปและความไม่เชื่อในสถาบันต่างๆ
ด้านความภาคภูมิใจในความเป็นคนไทย คนทุกรุ่นรวมทั้งคนหนุ่มสาวมีความภาคภูมิใจในความเป็นคนไทย และทุกรุ่นคิดว่ามาตรฐานการครองชีพดีกว่ารุ่นพ่อแม่เมื่ออายุพอๆ กัน นอกจากนี้ คนไทยส่วนใหญ่มีความสุขและค่อนข้างพอใจในชีวิตในระดับใกล้เคียงกันทุกรุ่น
ด้านทัศนคติต่อการเลี้ยงลูกพบว่า มีการเปลี่ยนแปลงไปตามเวลา โดยสัดส่วนคนที่คิดว่าควรให้เด็ก “อยู่ในโอวาท“ ลดลงตามเวลาและตามรุ่นคน ในขณะที่สัดส่วนคนที่คิดว่าควรให้เด็ก “เป็นตัวของตัวเอง” มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามเวลาและตามรุ่นคน เช่นเดียวกับความต้องการให้เด็ก “มีจินตนาการ”
ด้านสิ่งแวดล้อม คนรุ่นเจน Z และรุ่นก่อนสงครามเห็นความสำคัญของการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมมากกว่ารุ่นอื่นๆ
ด้านการทำงาน คนรุ่นเจน Y และคนรุ่นเจน Z เห็นความสำคัญของการทำงานสูงพอควรแม้จะหมายถึงการมีเวลาพักผ่อนน้อยลง โดยแม้จะไม่สูงเท่ารุ่นก่อนและกังวลต่อการตกงานมากขึ้น คนรุ่นเก่าจึงไม่ควรเปรียบเทียบว่าคนรุ่นใหม่ไม่ขยันเท่ารุ่นของตน เพราะทุกรุ่นให้ความสำคัญต่อการทำงานลดลง ซึ่งอาจเป็นผลจากการพัฒนาเศรษฐกิจที่ทำให้คนทุกรุ่นมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น และมีแรงกดดันให้ต้องทำงานลดลง
ด้านศาสนา คนรุ่นเจน Y และรุ่นเจน Z คิดว่าศาสนามีความสำคัญแต่น้อยกว่ารุ่นอื่นๆ โดยคนเจน Z คิดว่าศาสนามีความสำคัญแต่น้อยกว่าคนรุ่นเจน Y เมื่ออายุใกล้เคียงกัน และทุกรุ่นเห็นความสำคัญลดลงตามเวลา
แชร์พื้นที่ต่างวัย
จากมุมมองนี้แนวทางแก้ไขจึงต้องทำระบบการศึกษาให้ดี สร้างพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่และคนทุกรุ่น พร้อมปรับตัวรับกับสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว คนรุ่นก่อนต้องเปิดใจกว้างให้คนรุ่นใหม่เข้ามามีบทบาททางการเมือง
โดยประวัติศาสตร์ได้ชี้ให้เห็นว่ามีหลายเหตุการณ์สำคัญทั้งในระดับโลกและประเทศไทยที่มีคนรุ่นใหม่เป็นผู้นำสร้างความเปลี่ยนแปลงและสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้โลกมาแทบทุกยุคทุกสมัย เช่น ขบวนการสิทธิพลเมืองในอเมริกาในทศวรรษ 1960 ซึ่งสร้างความเสมอภาคของคนต่างชาติพันธุ์และสีผิว การประท้วงสงครามเวียดนาม และขบวนการสันติภาพ ซึ่งสร้างการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมของประเทศต่างๆ มากมาย และเหตุการณ์อาหรับสปริงที่ขับเคลื่อนด้วยคนรุ่นใหม่
รวมถึงกรณีของไทย เช่น 14 ตุลาคม ปี 2516 ที่แม้นิสิตนักศึกษาจะไม่ใช่พลังชี้ขาด แต่ได้ริเริ่มทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง สร้างจิตสำนึกให้คนจำนวนไม่น้อยทำงานเพื่อสังคมมาจนถึงปัจจุบัน เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ปี 2535 และขบวนการประชาธิปไตยในปัจจุบัน การเปิดใจรับคนรุ่นใหม่ ไม่ผูกขาดอำนาจทางการเมืองไว้ในมือคนรุ่นเก่าจะช่วยให้ประเทศไทยมีพลังของความหนุ่มสาวมากขึ้น
ในยุคปัจจุบันคนรุ่นใหม่ที่อยากเห็นความเปลี่ยนแปลงในประเทศไทยควรตระหนักว่ารุ่นของตนเพียงรุ่นเดียวอาจไม่มีพลังเพียงพอสร้างความเปลี่ยนแปลง หากดูสัดส่วนจำนวนคนเจน Z แม้จะมี 19% แต่ถ้านับจำนวนเสียงเลือกตั้งจะมีเพียง 13% เท่านั้น
คนรุ่นใหม่จึงต้องจับมือคนรุ่นก่อนที่มีจำนวนและทรัพยากรมากกว่าในการขับเคลื่อนประเทศ โดยควรเลือกประเด็นที่แสวงหาจุดร่วมและสงวนจุดต่างมากขึ้น คำนึงถึงความรู้สึกและอัตลักษณ์ของคนยุคก่อนหน้า เพราะคนทุกรุ่นต้องช่วยบริหารความขัดแย้งแห่งช่วงวัยเพื่อทำให้ประเทศไทยน่าอยู่ร่วมกัน
บทความโดย
สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์
ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)