หากคุณเป็นกองเชียร์ในสนามแข่งขันการลงทุนแห่งหนึ่งที่ต้องเลือกระหว่างฝั่งของผู้จัดการกองทุนผู้รอบรู้ทุกเรื่องการลงทุนกับกลุ่มเด็กมัธยม ท่านผู้อ่านคงมีคำตอบอยู่ในใจ
หากคุณเป็นกองเชียร์ในสนามแข่งขันการลงทุนแห่งหนึ่ง ที่ต้องเลือกระหว่างฝั่งของผู้จัดการกองทุนผู้รอบรู้ทุกเรื่องการลงทุน รู้สถานการณ์ตลาดในแต่ละช่วงเป็นอย่างดี อีกฝั่งของสนามแข่งคือกลุ่มเด็กมัธยมหนึ่งหรือเด็กอายุประมาณ 13 ขวบ
เชื่อว่ากองเชียร์ส่วนใหญ่จะมากองรวมกันที่ฝั่งของผู้จัดการกองทุน ด้วยคิดว่าเขาจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าเด็กเมื่อวานซืน จริงไหมล่ะครับ แต่เรื่องจริงก็คือกลุ่มเด็ก ม.1 กลายเป็นผู้ชนะเกมนี้ไปได้เสียอย่างนั้น เป็นไปได้อย่างไร ผมจะพาไปดูครับ
เรื่องราวนี้ถูกค้นพบโดย Peter Lynch ผู้จัดการกองทุนในตำนานที่ทำผลตอบแทนทบต้นให้กองทุนได้สูงถึง 29.2% ในระยะเวลา 13 ปี และถูกนำมาเขียนเล่าอย่างละเอียดในหนังสือของ Lynch ที่มีชื่อว่า Beating the Street หรือชื่อไทย "ตีแตกวอลสตรีท" ที่เป็นหนังสือขายดีระดับโลกนั่นเองครับ
เรื่องราวของกลุ่มเด็กอายุ 13 ที่ว่านี้ได้เปลี่ยนมุมมองการลงทุนของผู้คนที่ได้ฟังไปโดยสิ้นเชิง และเพิ่มน้ำหนักถึงประโยคที่ Lynch เคยกล่าวเอาไว้ว่า "คนธรรมดา มีโอกาสทำผลตอบแทนได้ดีกว่าเหล่าผู้จัดการกองทุน"
แต่เรื่องราวมันจะเป็นยังไง การที่กลุ่มเด็ก ม.1 ที่ทำผลตอบแทนทั้งชนะดัชนี S&P 500 และชนะ 99% ของกองทุนรวมหุ้น จะน่าสนุกมากแค่ไหน มาติดตามกันครับ
ในช่วงปี 2533 โรงเรียน St. Agnes ในเมืองอาร์ลิงตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ นักเรียนเกรด 7 ของโรงเรียนได้ถูกมอบหมายการบ้านให้เลือกหุ้นมาใส่ในพอร์ตจำลอง แน่นอนว่าการบ้านครั้งนี้ อาจเป็นการสอนบทเรียนเกี่ยวกับการลงทุนเบื้องต้นให้นักเรียนกลุ่มนี้ได้รู้ แต่ผลลัพธ์ที่ได้จากพอร์ตจำลองมันเหนือความคาดหมายไปไกลมากทีเดียวครับ
2 ปีต่อมา พอร์ตจำลองที่รวบรวมหุ้นที่เด็กนักเรียนกลุ่มนี้เลือก ทำผลตอบแทนสูงถึง 70% ในขณะที่ S&P 500 ได้รับเพียง 26% ในช่วงเวลาเดียวกัน หมายความว่า เด็กนักเรียนกลุ่มนี้เอาชนะตลาดไปได้ถึง 44% และนั่นไม่ใช่สิ่งที่น่ามหัศจรรย์เพียงสิ่งเดียวที่เกิดขึ้นครับ เพราะเมื่อนำผลตอบแทนจากพอร์ตจำลองไปเทียบกับกองทุนรวมที่อยู่ในตลาด พอร์ตจำลองของเด็กนักเรียน ทำผลงานได้ดีกว่า 99% ของกองทุนรวมทั้งหมด
ผู้มอบหมายการบ้านให้เด็ก ชื่อ คุณครู Joan Morrissey ผลลัพธ์ที่ได้จากพอร์ตจำลอง ทำให้ครู Morrissey ประทับใจกับผลงานของเด็กๆ เป็นอย่างมากและต้องการเปิดเผยความสำเร็จในครั้งนี้ให้ทุกคนได้รับรู้ จึงทำสมุดรวบรวมผลงานของการลงทุนครั้งนี้ขึ้น
ครู Morrissey ได้ส่งสมุดรวบรวมผลงานดังกล่าวให้กับผู้จัดการกองทุนในตำนานอย่าง Peter Lynch ซึ่งในขณะนั้นเขากำลังบริหารเงินลงทุนมากกว่า 14,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ให้กับ Fidelity Magellan
ด้วยความที่ Lynch เป็นคนที่ต้องการสอนและอธิบายเรื่องการลงทุนให้ทุกคนมองว่าเป็นเรื่องง่าย เขาจึงไม่ปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดมือไป Lynch ได้ขอเยี่ยมชมชั้นเรียนและคุณครู Morrissey เพื่อเรียนรู้เคล็ดลับเบื้องหลังความสำเร็จของการลงทุนในครั้งนี้ทันที
ซึ่งคุณครู Morrissey ก็ตอบรับและได้เชิญ Lynch เข้ามาเยี่ยมชั้นเรียน และได้อธิบายถึงบทเรียนเกี่ยวกับการเลือกหุ้นเพื่อนำเข้าพอร์ตลงทุนแบบง่ายๆ มาครับผมจะพาคุณไปเข้าคลาสการเรียนการสอนเกี่ยวกับการลงทุนเบื้องต้น จากคุณครู Morrissey กันนะครับ
บทเรียนที่ 1 "จงเลือกลงทุนในสิ่งที่คุณอธิบายได้เท่านั้น"
ครู Morrissey ได้อธิบายว่า หากนักเรียนไม่สามารถอธิบายให้เพื่อนๆ ฟังได้ว่า หุ้นที่เลือกทำธุรกิจอะไร ขายผลิตภัณฑ์อะไร หรือให้บริการอะไรบ้าง หุ้นตัวนั้นจะถูกปัดตกและไม่ได้รับอนุญาตให้ซื้อบทเรียนในข้อแรกตรงกับหลักการที่ Lynch คอยย้ำเตือนอยู่เสมอในหนังสือของเขา
และยังเป็นหลักการสำคัญที่นักลงทุนแบบเน้นคุณค่าแนะนำอยู่เสมอว่า "จงลงทุนในสิ่งที่คุณเข้าใจอยู่เสมอ" จากบทเรียนนี้ทำให้เด็กอายุ 13 เลือกหุ้นที่พวกเขารู้จักและคุ้นเคยออกมา เช่น หุ้น Walt Disney หุ้น Nike หุ้น GAP หุ้น Pepsi และหุ้น Walmart ซึ่งเป็นบริษัทที่เข้าใจง่ายและพวกเขาอาจคุ้นเคยกับผลิตภัณฑ์ หรือ เคยใช้บริการมาแล้ว
ต้องบอกว่านักลงทุนหลายคน ลืมบทเรียนในข้อนี้ และไปเลือกหุ้นแบบสุ่ม ที่คุณไม่สามารถเข้าใจ หรือ อธิบายได้ และคาดหวังให้ราคามันขึ้น ในขณะที่บริษัทที่มีธุรกิจที่เข้าใจง่าย ที่แม้แต่เด็ก 13 ขวบ ก็อธิบายได้ กลับไม่ได้รับความสนใจ ทั้งที่บริษัทเหล่านี้มีความสามารถในการทำกำไร และเติบโตได้ในระยะยาว
แค่บทเรียนที่ 1 ก็ให้ความรู้เกี่ยวกับการลงทุนไปมากขนาดนี้แล้ว แต่ก็ต้องให้เด็กทำการบ้านเยอะอยู่เหมือนกันครับ กว่าจะเลือกหุ้นสักตัวมาเข้าพอร์ตจำลองนี้ได้ บทเรียนจึงไม่ได้มีเพียงเท่านี้ครับ
บทเรียนที่ 2 "ลงทุนในสิ่งที่คุณรู้จักและชื่นชอบ"
อย่างที่คุณได้เห็นว่าเด็กนักเรียนเลือกหุ้นที่ตัวเองรู้จักมาอยู่แล้ว เพราะส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทที่พวกเขาอธิบายได้ว่ากำลังทำธุรกิจอะไรอยู่ การลงทุนในหุ้นที่คุณชื่นชอบ
เป็นไปได้ว่าหุ้นตัวนั้นอาจจะเป็นที่ชื่นชอบของคนอื่นด้วยเช่นกัน และการเลือกหุ้นในครั้งนี้ของกลุ่มเด็กนักเรียน เป็นแบบที่ผมได้บอกไปครับ เพราะหุ้นหลายบริษัทที่เด็กกลุ่มนี้เลือกได้ทำกำไร และราคาพุ่งขึ้นอย่างก้าวกระโดด
จากข้อมูลหุ้น GAP ซึ่งเป็นหุ้นเกี่ยวกับร้านค้าปลีกเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายชื่อดังที่เด็กๆ รู้จัก ปรับตัวพุ่งขึ้นถึง 320% ทำผลตอบแทนอย่างงามให้กับพอร์ตจำลองของเด็กๆ
นอกจากนี้ยังมีหุ้น Pentech International ผู้ผลิตปากกาเครื่องเขียน เป็นหนึ่งในสินค้าที่เด็กๆ ชื่นชอบและซื้อมาใช้เอง ก็พุ่งขึ้นทำผลตอบแทนอย่างงามเช่นกัน เรื่องน่ารู้ จากการเยี่ยมชั้นเรียนของ Lynch ในครั้งนี้ เขาได้รับปากกา Pentech จากเด็กๆ เป็นของขวัญด้วยครับ
นอกจากนี้ยังมีหุ้นบริษัทอื่นๆ ที่ปรับตัวขึ้นอย่างงดงาม และเป็นสิ่งที่เด็กๆ รู้จักและชื่นชอบอยู่แล้ว เช่น หุ้น Pepsi และ หุ้น Walmart ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 50%
แต่ไม่ใช่ว่าทุกหุ้นที่เด็กๆ เลือกจะได้กำไรทั้งหมดครับ มีหุ้นตัวหนึ่งชื่อ Savannah Foods ปรับตัวลดลง 38% แต่ผมจะบอกว่าการเลือกหุ้น Savannah Foods ในครั้งนี้ เด็กๆ ได้ทำผิดกฏข้อที่ 2 ครับ
เพราะจริงๆ แล้วเด็กๆ ไม่ได้ชอบหุ้นตัวนี้จริงๆ หรืออาจจะไม่รู้จักด้วย แต่พวกเขาเลือกจากคำแนะนำของนิตยสาร Investor's Daily ทำให้จริงๆ แล้วหุ้น Savannah Foods ไม่ควรจะอยู่ในพอร์ตจำลองของคลาสเรียนนี้ด้วยซ้ำครับ
ซึ่งจากการเลือกหุ้นที่ผิดพลาดนี้ ได้นำคุณมาถึงบทเรียนข้อสุดท้ายของหลักสูตรการเลือกหุ้นลงทุนในพอร์ตจำลองของเด็กๆ โรงเรียน St. Agnes กันแล้วครับ
สำหรับ บทเรียนที่ 3 บทเรียนสุดท้ายคือ "จงทำการบ้านด้วยตัวเอง"
ในปีต่อๆ มาคุณครู Morrissey ยังคงสอนชั้นเรียนของเธอเกี่ยวกับการเลือกหุ้นตามบทเรียนที่ว่าไปแล้วครับ นอกจากนี้ครู Morrissey ยังได้รับแรงบันดาลใจให้ก่อตั้งกลุ่มการลงทุนซึ่งประกอบด้วยครูคนอื่นๆ โดยให้ Peter Lynch เป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์
แต่หลังจากนั้นเมื่อครู Morrissey นำตัวเลขผลตอบแทนจากการลงทุนมาพิจารณากับ Lynch พวกเขาสองคนพบว่า "ถึงแม้ว่าผลตอบแทนของกองทุนจะดี แต่ก็ยังไม่ดีเท่าพอร์ตจำลองที่นักเรียนเลือกหุ้นเอง"
บทเรียนในข้อนี้หมายความว่าคุณต้องชั่งใจตัวเองอยู่เสมอ เมื่อมีใครสักคนมาบอกกับคุณว่า "หุ้นตัวนั้นดี" หรือ "หุ้นตัวนี้น่าลงทุน" ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องจริงก็ได้ครับ
แต่สิ่งที่คุณควรทำ คือ หาข้อมูลและหาเหตุผลเพื่อศึกษา "สิ่งที่คุณจะลงทุน" จนคุณเข้าใจมันอย่างทะลุปรุโปร่ง และมันควรเป็นการลงทุนที่ตรงใจของคุณมากที่สุด เหมือนกับบทเรียนข้อที่ 2 ที่คุณควรเลือกการลงทุนในสิ่งที่คุณชอบ การทำเงินในตลาดหุ้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่การสร้างผลตอบแทนที่ดีและสม่ำเสมอติดต่อกันหลายปี ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นเดียวกัน
หากคุณต้องการให้การลงทุนของคุณประสบความสำเร็จ คุณควรย้ำเตือน 3 บทเรียนสำคัญนี้เอาไว้อยู่เสมอ ซึ่งผมขอนำมาสรุปอีกครั้งนะครับ
1. จงลงทุนในสิ่งที่คุณอธิบายได้เท่านั้น คุณจะได้เข้าใจอย่างชัดเจนถึงสิ่งที่คุณลงทุน และจะช่วยให้คุณสบายใจมากขึ้นในการลงทุนครับ
2. ลงทุนในสิ่งที่คุณรู้จักและชื่นชอบ การลงทุนในสิ่งที่คุณรู้จักและชื่นชอบจะทำให้คุณกำหนดแผนการลงทุนของคุณได้ง่ายขึ้น และเมื่อคุณชอบก็เป็นไปได้ว่ามีอีกหลายคนจะชอบในสิ่งที่คุณลงทุนเช่นกันครับ
3. จงทำการบ้านด้วยตัวของคุณเอง การหาข้อมูลในสิ่งที่ลงทุนเป็นหน้าที่ของคุณที่ต้องทำมัน ซึ่งต้องบอกว่ากฎทั้ง 3 ข้อนี้เป็นสิ่งที่มีประสิทธิภาพ และใช้ได้จริง
สำหรับการลงทุนในระยะยาวที่แม้แต่ผู้จัดการกองทุนในตำนานอย่าง Lynch ยังยอมรับ และกลายเป็นบทเรียนสำคัญที่เขาต้องการนำเสนอให้กับทุกคนได้เรียนรู้ครับ
แน่นอนครับว่านักวิจารณ์หรือผู้ที่ไม่เห็นด้วยอาจจะบอกว่า "นี่มันแค่พอร์ตจำลอง ไม่ได้ใช้เงินจริงในการลงทุนสักหน่อย" ซึ่ง Lynch ได้ออกโรงปกป้องอย่างเต็มที่พร้อมกับบอกว่า "ไม่ใช้เงินจริง แล้วยังไงล่ะ?"
Lynch ได้เสริมว่า "เหล่าบรรดาเซียนหุ้นหรือผู้จัดการกองทุนควรดีใจที่โรงเรียน St. Agnes ไม่ได้ใช้เงินจริงในการลงทุน" "ไม่เช่นนั้นเงินหลายพันล้านเหรียญสหรัฐ อาจถูกดึงออกจากกองทุนที่เหล่าผู้จัดการกองทุนบริหารอยู่ มาให้เด็กๆ บริหารแทน"
ถึงแม้ว่าใครๆ ก็สามารถซื้อหุ้นที่เด็กๆ เลือกลงทุนได้ แต่กลับไม่มีใครทำแบบนั้น ทั้งที่มันเป็นการลงทุนที่ดีมากและเอาชนะ 99% ของกองทุนรวมที่อยู่ในตลาดได้
จากการเยี่ยมชมชั้นเรียนในครั้งนี้ นอกจาก Lynch จะได้รับของขวัญเป็นปากกา Pentech แล้ว Lynch ยังได้ตลับเทปแคสเซ็ตที่นักเรียนได้บันทึกวิธีการเลือกหุ้นไว้ลงทุนของพวกเขาไว้ ซึ่งผมได้คัด 3 คำสอนสำคัญที่อยากให้ทุกคนจำเอาไว้ให้ขึ้นใจครับ
1. คุณสามารถสูญเสียเงินได้ในระยะเวลาอันสั้น แต่คุณต้องใช้เวลานานมากในการหาเงินใหม่
2. คุณไม่ควรเลือกหุ้นเข้าพอร์ตเพียงอย่างเดียว คุณควรทำการบ้านอย่างสม่ำเสมอ
3. คุณไม่ควรซื้อหุ้นเพราะมันราคาถูกเท่านั้น แต่คุณควรรู้เกี่ยวกับหุ้นที่คุณซื้อให้มากด้วยเช่นกัน
ทั้งหมดนี้คือบทเรียนการลงทุนที่เด็กอายุ 13 ขวบก็เข้าใจได้ และผมเชื่อว่านักลงทุนทุกท่านจะเข้าใจและได้เรียนรู้มันผ่านพอดคาสต์ในตอนนี้เช่นเดียวกันครับ
แต่นอกจากปากกาแล้ว เด็กๆ โรงเรียน St. Agnes ยังแนะนำให้ Lynch ไปสำรวจบริษัท Pentech International ด้วยเช่นกัน แต่ Lynch กลับไม่ได้ไปสำรวจตามคำแนะนำของเด็กๆ ครับ หลังจากนั้นไม่นาน ราคาหุ้นก็พุ่งขึ้นเกือบสองเท่า ทำให้แม้แต่ผู้จัดการกองทุนในตำนานอย่าง Lynch ก็ตกรถไปอย่างน่าเสียดายครับ
เรื่องราวนี้น่าจะกลายเป็นบทเรียนที่สอนกับทุกคนว่า "การลงทุนไม่จำเป็นต้องเล่นท่ายาก ก็สามารถทำผลตอบแทนที่ดีได้ และผู้จัดการกองทุนที่มีความรู้เยอะก็ไม่ได้แปลว่าพวกเขาจะทำผลตอบแทนได้ดีกว่าคุณเสมอไป"
สุดท้ายขอฝากประโยคที่ Lynch พูดเอาไว้ถึงเรื่องนี้ ที่มีจิกกัดผู้จัดการกองทุนทั้งหลายใน Wall Street แบบแสบๆ คันๆ ว่า “การลงทุนของ St. Agnes ทำได้ดีกว่า 99% ของกองทุนรวมตราสารทุนทั้งหมด แล้วมันสมเหตุสมผลไหมที่ผู้จัดการบริษัทการเงินใหญ่ๆ ได้รับเงินจำนวนมากในการเลือกผู้เชี่ยวชาญเข้ามาดูแลกองทุน แต่สำหรับเด็กๆ การได้รับอาหารเช้าและได้ดูหนังฟรีกับครูก็ทำให้พวกเขามีความสุขแล้ว”
ขอให้มีความสุขกับการลงทุนนะครับ
บทความโดย
ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์
ซีอีโอ Jitta Wealth
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine