เทรนด์โลจิสติกส์ไทยและอาเซียน - Forbes Thailand

เทรนด์โลจิสติกส์ไทยและอาเซียน

FORBES THAILAND / ADMIN
24 Jun 2017 | 04:02 PM
READ 2734

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์ให้มีประสิทธิภาพนั้นเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่มีบทบาทต่อการดำเนินธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ เหตุผลดังกล่าวทำให้อุตสาหกรรมโลจิสติกส์มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะหลังจากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC และการแข่งขันธุรกิจในยุคที่ไร้พรมแดน รวมถึงการขยายตัวของธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ อันเป็นปัจจัยเกื้อหนุนให้เกิดความต้องการด้านโลจิสติกส์ในภูมิภาคเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

เปิดเทรนด์อุตสาหกรรมโลจิสติกส์สถานการณ์อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ในไทยและในภูมิภาคอาเซียนช่วงปีที่ผ่านมานั้นมีอยู่ 3 เทรนด์ที่น่าจับตามอง เทรนด์แรกคือ การสร้างความแตกต่าง (differentiation) ซึ่งเดิมบริษัทผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์นั้น มักจะให้บริการเพียงด้านเดียว เช่น ทำคลังสินค้าห้องเย็น หรือทำลานจอดรถยนต์ หรือทำคลังสินค้าทั่วไป แต่ปัจจุบันการแข่งขันสูงมากจนทำให้ผู้ประกอบการหันมาห้ำหั่นด้วยการแข่งขันด้านราคาจึงไม่สามารถบริหารผลตอบแทนได้ดีเท่าที่ควร ดังนั้นการสร้างความแตกต่างจึงเป็นทางออกที่ผู้ประกอบการโลจิสติกส์หลายรายพยายามปรับตัว เพื่อสร้างจุดเด่นด้านบริการเสริมและครบวงจรมากยิ่งขึ้น เทรนด์ที่สอง คือ การปรับตัวของธุรกิจโลจิสติกส์ให้สอดรับกับความต้องการของลูกค้า(consolidation) ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการต้องพยายามเสริมการให้บริการส่วนต่างๆ ที่บริษัทยังไม่มี อย่างไรก็ตาม ถ้าจะต้องพัฒนาหรือลงทุนเองทั้งหมดจะต้องใช้เวลานานและใช้เงินลงทุนจำนวนมาก ซึ่งอาจไม่ทันกับความต้องการของลูกค้า ดังนั้นการรวมตัวกันของบริษัทขนาดเล็กและใหญ่จึงเป็นปรากฏการณ์ที่มีโอกาสเกิดขึ้นบ่อยครั้ง โดยอาจเป็นรูปแบบพันธมิตร การร่วมลงทุนหรือการควบรวมกิจการขึ้นอยู่กับขนาดของบริษัท เทรนด์ที่สาม คือ การใช้เทคโนโลยีในปัจจุบันการเติบโตของอี-คอมเมิร์ซ ถือว่ามีผลอย่างสูงต่อธุรกิจโลจิสติกส์โดยบริษัทต้องพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อรองรับโลจิสติกส์อี-คอมเมิร์ซที่จะเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัวในอนาคต นอกจากนี้ การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการจัดเก็บข้อมูล ติดตามข้อมูลหรือบริหารจัดการระบบต่างๆ ก็เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะเทคโนโลยีเป็นตัวแปรหนึ่งที่ทำให้บริษัทผู้ให้บริการมีความได้เปรียบเชิงการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นความถูกต้องแม่นยำความสะดวกในการติดตามข้อมูลของลูกค้า ความปลอดภัยการช่วยประหยัดเวลา หรือลดการจ้างแรงงาน แนวโน้มการเติบโตในอนาคตสำหรับการทุ่มเม็ดเงินนับแสนล้านเพื่อผลักดันโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจ (Eastern Economic Corridor หรือ EEC) ย่อมส่งผลดีต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ไทยในทุกเซกเมนต์ เช่น กลุ่มธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็นมีแนวโน้มที่ดีขึ้น เนื่องจากทิศทางของรัฐบาลไทยที่ส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็น “Food Hub” ส่วนสถานการณ์การทำประมงที่ขัดต่อกฎหมาย (Illegal, Unreported and Unregulated Fishing หรือ IUU) ก็คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจต้องขึ้นอยู่กับความพร้อมของผู้ให้บริการโลจิสติกส์แต่ละรายที่จะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้มากน้อยเพียงใด ธุรกิจรับฝากและบริหารโลจิสติกส์ยานยนต์เป็นอีกกลุ่มที่มีแนวโน้มเติบโตที่ดี แต่อัตราการเติบโตอาจจะไม่หวือหวาโดยบริษัทผู้ให้บริการต้องหาวิธีการเพิ่มบริการเสริมอื่นๆ ธุรกิจรับฝากและบริหารสินค้าอันตรายก็มีแนวโน้มเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไปเช่น กัน โดยผู้ประกอบการที่ให้บริการต้องหาวิธีเพิ่มมูลค่าการให้บริการเสริมอื่นๆ เช่นจากเดิมที่ให้บริการรับฝากบริหารและขนส่งสินค้าอันตรายในเขตพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง จ. ชลบุรี ก็มีการขยายให้บริการด้วยการจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้าเคมีภัณฑ์ เพื่อรองรับความต้องการจัดแบ่งเก็บบรรจุภัณฑ์ และกระจายสินค้าไปยังโรงงานต่างๆ ทั่วประเทศ ส่วนธุรกิจขนส่งสินค้าในไทยและต่างประเทศนั้น ก็มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี เนื่องจากการเปิด AEC โดยเฉพาะการขนส่งสินค้าไปยังประเทศเมียนมาและกัมพูชาที่มีอัตราเติบโตถึง 6-7% ต่อปีในช่วงที่ผ่านมา รวมทั้งการขนส่งแบบ B2B B2C และ C2C ที่เติบโตมากตามการขยายตัวของธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ จึงส่งผลให้บริษัทผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ต้องพัฒนาเทคโนโลยีและระบบการขนส่งเพื่อรองรับกับความต้องการนี้ ขณะที่ธุรกิจรับขนย้ายสินค้าในไทยและต่างประเทศก็มีแนวโน้มที่จะเติบโต โดยบริษัทผู้ให้บริการต้องหาวิธีเพิ่มมูลค่าการให้บริการเสริมอื่นๆ เช่น จากเดิมที่มีบริการ self-storage และ box storage เพื่อเก็บอุปกรณ์เครื่องใช้ ก็จะขยายการให้บริการไปในเมือง (city storage) เพื่อเพิ่มจุดการให้บริการ เนื่องจากพฤติกรรมของผู้ใช้บริการเปลี่ยนไป โดยต้องการใช้บริการในสถานที่ที่สะดวกและใกล้ที่พักอาศัย เป็นต้น ไทย-เทศ ชิงปักธงโลจิสติกส์ใน CLMV สำหรับการเติบโตของ GDP ในกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) ในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 7-8% โดยประเทศกัมพูชาและเมียนมามีการเติบโตสูงสุด ทำให้ภาพรวมปริมาณความต้องการใช้บริการด้านโลจิสติกส์มีแนวโน้มสดใส แต่รูปแบบจะแตกต่างกันออกไปในแต่ละประเทศ อาทิ สปป.ลาว การเติบโตของ infrastructure เช่น การก่อสร้างถนนเขื่อน ระบบรางรถไฟ จะเป็นตัวผลักดันอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ที่รองรับเมกะโปรเจกต์เนื่องจากไม่ได้มีฐานการผลิตสินค้าเหมือนในบางประเทศ ส่วนในประเทศกัมพูชาและเมียนมาภาคอุตสาหกรรมการผลิตและการส่งออกมีการเติบโตที่ดี เป็นผลให้ภาคธุรกิจโลจิสติกส์ขยายตัว เนื่องจากในปัจจุบันมีนักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนใน 2 ประเทศนี้จำนวนมาก ส่วนธุรกิจโลจิสติกส์ในเวียดนาม แม้ที่ผ่านมามีผู้ประกอบการภาคเอกชนเข้าไปลงทุนมากมาย เนื่องจากเวียดนามมีความได้เปรียบในเชิงภูมิประเทศที่เอื้อต่อการลงทุนเพื่อใช้เป็นฐานการส่งออก และภาครัฐก็พร้อมสนับสนุนการลงทุนจากต่างประเทศทั้งภาคการผลิตเพื่อการบริโภคภายในประเทศ และภาคการผลิตเพื่อส่งออก จึงเป็นปัจจัยสนับสนุนการขยายตัวของโลจิสติกส์ในเวียดนาม โดยเฉพาะการทำ distribution center หรือ nationwide distribution จะเป็นเทรนด์ที่ดีของเวียดนามในอนาคตสำหรับการแข่งขันในธุรกิจโลจิสติกส์นั้นผู้ประกอบการชั้นนำระดับโลกที่ได้รุกขยายเข้าสู่ตลาดอาเซียนนั้นมีความได้เปรียบผู้ประกอบการด้านโลจิสติกส์ในท้องถิ่นเนื่องจากบริษัทขนาดใหญ่ระดับโลกมีความพร้อมทั้งด้านเงินทุน ความรู้ และเทคโนโลยีที่ทำให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นไม่สามารถเข้าไปแข่งขันได้ แต่สามารถเข้าไปเสนอการให้บริการบางส่วนที่บริษัทข้ามชาติเหล่านี้ต้องการ โดยเป็นลักษณะ outsource service ซึ่งจะเป็นประโยชน์และสามารถทำให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นอยู่รอดจากการแข่งขัน นอกจากนี้ ยังมีโอกาสได้องค์ความรู้จากการทำธุรกิจกับบริษัทข้ามชาติอีกด้วยในด้านโอกาสของผู้ประกอบการไทยกับการแข่งขันในธุรกิจโลจิสติกส์ในภูมิภาคอาเซียนนั้น หากสามารถนำจุดเด่น อาทิ การมี hard assets จำนวนมาก มีความรวดเร็วในการตัดสินใจ รวมถึงนำความเชี่ยวชาญในตลาดท้องถิ่นเข้ามาเสริมในสิ่งที่บริษัทโลจิสติกส์ข้ามชาติต้องการได้ก็จะสามารถต่อยอดธุรกิจ หรือเกิดรูปแบบการร่วมทุนใหม่ๆ เช่น การร่วมทุนของเอสซีจี กับ นิชิเร เพื่อบุกเบิกตลาดคลังสินค้าห้องเย็น หรือ การร่วมทุนของ เอสซีจีกับ ยามาโตะ ที่ต้องการบุกเบิกตลาดขนส่งแบบ express สำหรับ B2C และ C2C ที่ต่างฝ่ายต่างเติมเต็มสิ่งที่ขาด เพื่อทำให้เกิดความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การนำระบบไอทีและนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการเพื่อเพิประสิทธิภาพการให้บริการดีขึ้นโดยเฉพาะการทดแทนแรงงาน เช่น การบริหารคลังสินค้าที่สามารถใช้ระบบอัตโนมัติเข้ามาบริหารจัดการเพื่อลดจำนวนพนักงานลง ก็จะช่วยแก้ไขปัญหาด้านการขาดแคลนบุคลากรด้านโลจิสติกส์ และลดต้นทุนค่าแรง ดังนั้น บริษัทโลจิสติกส์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ควรจะมี innovation center เพื่อพัฒนาซอฟต์แวร์หรือนวัตกรรมต่างๆ ที่ตอบโจทย์ธุรกิจเฉพาะของตนเองและเพื่อลดการพึ่งพาแรงงานในอนาคตอีกทั้งสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่งด้วย ชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน)
คลิกอ่าน บทความทางด้านธุรกิจและการลงทุน ได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ พฤษภาคม 2560 ในรูปแบบ e-Magazine