อุ่นเครื่องความคิดก่อนสัมผัสงานสัมมนาระดับโลก SingularityU Thailand Summit 2018 ครั้งแรกในไทย - Forbes Thailand

อุ่นเครื่องความคิดก่อนสัมผัสงานสัมมนาระดับโลก SingularityU Thailand Summit 2018 ครั้งแรกในไทย

กูรูรวมตัวร่วมแสดงความคิดเห็นในงานแถลงข่าวเปิดตัวงานสัมมนา SingularityU Thailand Summit 2018 เผยภาพไทยเตรียมพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากเทคโนโลยี โดยได้ ชานนท์ เรืองกฤตยา แห่ง อนันดาฯ อรพงศ์ เทียนเงิน แห่งดิจิทัล เวนเจอร์ และ  แจนสัน แยป จาก ดีลอยท์ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ร่วมเสวนา

ดร.จอห์น เลสลี่ มิลลาร์ ผู้จัดงานและผู้ริเริ่มโครงการ SingularityU Thailand Summit 2018 ที่กำลังเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทยในเดือนมิถุนายนนี้กล่าวเปิดงานพร้อมเชื่อมั่นไทยว่า ประเทศไทยมีศักยภาพและพร้อมสู่การเติบโตและก้าวข้ามรูปแบบระบบเศรษฐกิจและการพัฒนาด้านสังคมในปัจจุบัน ซึ่งงานสัมมนาที่จะเกิดขึ้นที่ประเทศไทย ถูกจัดต่อเนืองมาแล้วเกือบทศวรรษ ภายใต้ SingularityU ได้รวบรวมบรรดาผู้นำและผู้เชี่ยวชาญแถวหน้ามาร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นการประชุมหรือโปรแกรมที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาด้านเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่มีความหมาย และการลงมือทำอันจะก่อให้เกิดผลกระทบอันแท้จริงต่อธุรกิจ กลุ่มอุตสาหกรรม สังคม และชุมชนโลก “นับตั้งแต่การเปิดตัวในปี 2551 Singularity University ได้ทำหน้าที่เป็นพื้นฐานของชุมชนนวัตกรรมระดับโลกมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการให้ความสำคัญกับการสร้างความเปลี่ยนแปลงด้านบวกให้กับโลกผ่านกระบวนการคิดแบบก้าวกระโดด และการรับมือกับความท้าทายระดับโลก งานสัมมนา SingularityU จึงเป็นที่รู้จักในฐานะการเป็นผู้ขับเคลื่อนสำคัญให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและวิธีการแก้ไขที่แท้จริง” ดร.จอห์น เลสลี่ มิลลาร์ กล่าว
ดร.จอห์น เลสลี่ มิลลาร์ จาก บริษัท เอกซ์โพเนนเชียล วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด
ด้าน ชานนท์ เรืองกฤตยา กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จํากัด (มหาชน) กล่าวว่า “อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์มีวิสัยทัศน์และพันธะสัญญา ต่อการพัฒนาชีวิตของคนเมืองอย่างต่อเนื่อง ในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงทุกวันนี้ ภาคการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์กำลังเดินหน้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค รวมถึงผลกระทบที่เกิดจากการย้ายถิ่นฐานของผู้คนในประเทศ และความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นในการเข้าถึงข้อมูลที่มีคุณภาพได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งสำคัญต่อการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ การบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ” “ดังนั้น จุดมุ่งหมายอันสูงสุดคือการนำเทคโนโลยีที่มีผลกระทบอย่างก้าวกระโดดมาใช้เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตในทุกๆ ด้าน ซึ่งจะต้องครอบคลุมทั้งความปลอดภัย ความรวดเร็วและความสะดวกสบาย ทั้งเรื่องที่อยู่อาศัย การเดินทาง การทำงาน สุขภาพและการเงินส่วนบุคคล” ด้าน อรพงศ์ เทียนเงิน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ดิจิทัล เวนเจอร์ บริษัทผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมทางการเงินในเครือธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า “ในปัจจุบัน อุตสาหกรรมทางการเงินกำลังถูกขับเคลื่อนและสั่นคลอนโดยเหล่าเทคโนโลยีที่มีผลกระทบอย่างก้าวกระโดด ไม่ว่าจะเป็น บล็อคเชน (Blockchain) ระบบปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) บิ๊ก ดาต้า (Big Data) ไปจนถึง ระบบ Quantum Computer (Quantum Computing System) ในฐานะผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมทางการเงินในเครือธนาคารไทยพาณิชย์ เรามีพันธสัญญาในการขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในอุตสาหกรรมการธนาคาร ผ่านนวัตกรรม การลงทุน และการสนับสนุนธุรกิจต่างๆ ของไทยให้เติบโตไปพร้อมๆ กับธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์เองปรับโหมดตัวเองเพื่อกำหนดตัวตนใหม่ อย่างกลยุทธ์ “Going Upside Down” เราตั้งเป้าหมายชัดเจนการลดพนักงานและนำเทคโนโลยีอันทันสมัยมาแทนที่ สมัยก่อนธนาคารต้องยิ่งใหญ่ แต่ปัจจุบันขนาดไม่ใช่ปัจจัยสำคัญ แต่ประสิทธิภาพคือสิ่งสำคัญที่สุด ถึงเป็นการกลับตาลปัตรทางความคิดที่ไทยพาณิชย์ต้องการจะไปและเรา ดิจิทัล เวนเจอร์ จะเข้าไปมีส่วนสำคัญในพัฒนาสิ่งเหล่านี้” ด้าน ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) กล่าวว่า ในยุคที่นวัตกรรมเป็นแรงผลักดันอันสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศนั้น ถือว่าเป็นช่วงเวลาอันควรแก่ภาครัฐและเอกชนที่จะร่วมมือกันผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเติบโตอย่างก้าวกระโดดผ่านเทคโนโลยีต่างๆ “นอกจากนี้ ยังจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพัฒนาพื้นฐานของแต่ละภาคส่วน เพื่อการเข้าถึงวิสาหกิจชุมชนและการบริการด้านสุขภาพ รวมถึงพัฒนาและขยับขยายบุคลากรด้านดิจิทัลในทุกระดับเพื่อขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้าด้วยเทคโนโลยีที่มีผลกระทบอย่างก้าวกระโดด” ดร.ณัฐพล กล่าว ดร. แจนสัน แยป ประธานภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่ปรึกษาด้านความเสี่ยงระดับโลก และประธานฝ่าย Innovation Practice จาก ดีลอยท์ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า “ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ดีลอยท์ และ Singularity University (SU) ได้ทำงานร่วมกันเพื่อให้คำตอบและช่วยผู้นำทางด้านธุรกิจในการเตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป – โดยเน้นนโยบายจากความคิดสู่การลงมือปฏิบัติจริง" ทั้งนี้ งานสัมมนา SingularityU Thailand Summit 2018 จะจัดขึ้นเป็นระยะเวลา 2 วันเต็ม ในเดือนมิถุนายนที่จะถึง โดยมุ่งเน้นไปที่ประเด็นเรื่องความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีต่างๆ ที่สามารถเกิดขึ้นได้ในวงกว้างด้วยการเปลี่ยนแปลงทางความคิดพื้นฐาน ซึ่งผลกระทบโดยรวมที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะสามารถเปลี่ยนโฉมทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตประจำวันของมนุษย์ ผู้เข้าร่วมงานจะได้รับฟังการพูดคุยถึงประเด็นต่างๆ เช่น อนาคตของปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) อนาคตของวงการแพทย์ยุคดิจิทัล อนาคตของอุตสาหกรรมพลังงาน รวมถึงอนาคตของอุตสาหกรรมการเงินและการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ต่างๆ ระดับโลก