อัพเดท 5 เทคโนโลยี-เครื่องมือใหม่จาก Google ช่วยทั้งฝั่งธุรกิจและเว็บไซต์โตไปด้วยกัน - Forbes Thailand

อัพเดท 5 เทคโนโลยี-เครื่องมือใหม่จาก Google ช่วยทั้งฝั่งธุรกิจและเว็บไซต์โตไปด้วยกัน

50% ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตบนโลกใบนี้อยู่ในทวีปเอเชีย ทวีปเอเชียคือตลาดที่ใหญ่ที่สุดสำหรับธุรกิจใหม่ เช่น อี-คอมเมิร์ซ หรือบริการร่วมโดยสาร (ride-sharing) และทุกวันนี้การค้นหาคำว่า sushi’ มีมากกว่าคำว่า sandwiches’

นี่คือสถิติที่รายงานโดย Karim Temsamani ประธานฝ่ายปฏิบัติการ Google ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ในงานสัมมนา Growing with Google ณ สำนักงานใหญ่ Google Asia Pacific ประเทศสิงคโปร์

ด้วยผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่กำลังเติบโต เอเชียแปซิฟิกจึงเป็นภูมิภาคสำคัญสำหรับ Google ในการส่งเสริมเทคโนโลยีและเครื่องมือใหม่ๆ เพื่อจูงใจให้เหล่าผู้ประกอบการโดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลาง (SMEs)  รวมไปถึง Publisher (เจ้าของหน้าเว็บไซต์) ให้หันมาใช้แพลตฟอร์มออนไลน์และเทคโนโลยีใหม่เหล่านี้

Karim Temsamani ประธานฝ่ายปฏิบัติการ Google ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

ที่ผ่านมา Google มีแหล่งรายได้หลักจากค่าโฆษณา ซึ่งเก็บเกี่ยวผ่านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการลงโฆษณา เช่น AdWord ซึ่งจะแสดงลิงก์ของผู้ลงโฆษณาไว้บนสุดของหน้า Google search, AdSense ใช้โปรแกรมนำโฆษณาที่เกี่ยวข้องไปแสดงบนหน้าเพจของเว็บไซต์, AdMob ในทำนองเดียวกับ AdSense แต่โฆษณาจะปรากฏในแอพพลิเคชั่นต่างๆ

อย่างไรก็ตาม ช่วงที่ผ่านมา Google ได้พัฒนาปรับปรุง มีเครื่องมือและทิศทางใหม่ๆ ของนวัตกรรมที่ Google จะก้าวไป ซึ่งไม่ได้มีแค่เพียงการโฆษณาอีกต่อไป Forbes Thailand ขอหยิบยกทิศทางและเครื่องมือที่น่าสนใจบางส่วนจากงาน Growing with Google มานำเสนอ ดังนี้

  1.AI First

ตั้งแต่ช่วงปี 2560 Google ประกาศตัวว่าบริษัทได้เปลี่ยนจากกลยุทธ์ Moblie First หรือการพัฒนาโดยเน้นโทรศัพท์มือถือเป็นหลัก มาเป็นกลยุทธ์แบบ AI First 

เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) ที่ Google กำลังมุ่งพัฒนาจะนำมาใช้ต่อยอดกับผลิตภัณฑ์ทุกอย่างของบริษัท ตัวอย่างเช่น การใช้งานระดับบุคคล Google จะกลายเป็นผู้ช่วยส่วนตัวที่ตอบสนองทุกความต้องการ ตั้งแต่การแปลภาษา ค้นหาชื่อและรายละเอียดสิ่งของนั้นๆ ฯลฯ เพียงพูดคุยกับ Google assistant ผ่านโทรศัพท์มือถือ โดยเทคโนโลยี AI จะทำให้ผู้ช่วยส่วนตัวนี้ฉลาดขึ้นและทำงานได้หลากหลายมากขึ้นในอนาคต 

ส่วนระดับธุรกิจ Google มีเครื่องมือใหม่ชื่อ TensorFlow เป็นระบบ machine learning แบบ open source เพื่อให้ธุรกิจนำไปปรับใช้ได้ โดย Google ยกตัวอย่างบริษัทที่ทดลองนำเครื่องมือนี้ไปใช้ เช่น KEWPIE บริษัทอาหารจากญี่ปุ่น พวกเขานำ TensorFlow ไปปรับใช้ในไลน์ผลิตอาหารทารกซึ่ง AI จะต้องตรวจมันฝรั่งหั่นลูกเต๋าขนาดเล็กทุกชิ้นเพื่อคัดชิ้นที่ไม่ได้มาตรฐานออกไป

มันฝรั่งหั่นลูกเต๋าที่ KEWPIE ใช้ระบบ TensorFlow ของ Google เข้ามาช่วยตรวจสอบคุณภาพ (Photo Credit: blog.google)
2.กรองโฆษณาที่ไม่ปลอดภัยออกจากระบบ Google ปรับปรุงนโยบายการลงโฆษณาเพิ่มขึ้นในปี 2560 บริษัทเพิ่มกฎอีก 28 ข้อสำหรับผู้ลงโฆษณา และอีก 20 ข้อสำหรับ Publisher บริษัทเพิ่มความเข้มงวดเหล่านี้เพื่อปกป้องผู้บริโภคจากความเสี่ยงต่างๆ เช่น ลิงก์โฆษณาหลอกลวง การระดมทุนผ่านสกุลเงินดิจิทัล (ICO) เป็นต้น ซึ่งทำให้ปีที่ผ่านมา Google ลบโฆษณาออกจากระบบไปมากกว่า 3.2 พันล้านชิ้น และลบ Publisher ที่ไม่ปลอดภัยออกจากระบบ 3.2 แสนราย ทั้งหมดเพื่อสร้างระบบโฆษณาที่ปลอดภัยสำหรับทุกฝ่ายอันเป็นฐานรายได้หลักของ Google ในปัจจุบัน 3.Google News Initiative (GNI) Google มองว่าอุตสาหกรรมข่าวสารคือหนึ่งในผู้เล่นสำคัญในระบบนิเวศของ Google ช่วงที่ผ่านมา Google เผชิญปัญหาข่าวปลอม (fake news) ระบาด ข้อมูลปลอมเหล่านี้กลับปรากฏเป็นอันดับต้นๆ ใน Google และ YouTube
หากมองในระยะยาว ถ้าผู้บริโภคได้รับข้อมูลผิดๆ จะเป็นปัญหากับตัว Google เอง ดังนั้น สิ่งที่บริษัททำเพื่อแก้โจทย์นอกจากกรองเว็บไซต์ Publisher หลอกลวงแล้ว ยังลงทุน 300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ออกโปรแกรม GNI เพื่อช่วยให้บริษัทสื่อดั้งเดิมหรือสื่อใหม่เติบโตอย่างแข็งแรงในเชิงการเงินบนโลกดิจิทัล GNI ได้จัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมเครื่องมือและผลิตภัณฑ์ที่สร้างขึ้นเพื่อช่วยให้นักข่าวทำงานบนโลกออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงเปิดรับพันธมิตรองค์กรสื่อมาทำงานร่วมกัน เปิดให้เสนอความคิดเห็นเพื่อพัฒนาธุรกิจสื่อ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เว็บไซต์ที่มีเนื้อหาข่าวคุณภาพได้รับการค้นพบจากผู้ใช้ Google ทั่วโลก   4.Google Cloud Platform แพลตฟอร์มนี้มุ่งเป็นระบบคลาวด์ที่เข้าถึงได้ของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม อันที่จริง Google ได้ขยายโครงสร้างพื้นฐานคือการวางโครงข่ายไฟเบอร์ไว้เพื่อเป็นฐานให้กับเครื่องมือค้นหา (search engine) ของตัวเอง ก่อนที่จะเริ่มขยายมาให้บริการระบบคลาวด์แก่ลูกค้าทั่วไปเมื่อ 3 ปีก่อน ด้วย Google Cloud ร่วมกับเครื่องมือ TensorFlow ดังกล่าวข้างต้น ทำให้ Google พัฒนาบริการให้เข้ากับความต้องการของลูกค้าธุรกิจได้
Neil Lee ที่ปรึกษาบริษัท HerMin Textile
ยกตัวอย่างเช่น บริษัท HerMin Textile ในไต้หวัน HerMin เป็นบริษัทเก่าแก่ที่มีแบบผ้ามากกว่า 1 แสนแบบจัดเก็บอยู่ในโกดัง การจะตามหาลายผ้าที่ลูกค้าต้องการด้วยกำลังมนุษย์จะต้องใช้เวลาขั้นต่ำ 40-45 วัน นั่นทำให้ HerMin เข้ามาใช้ระบบ Cloud ในการจัดเก็บบันทึกลายผ้าของบริษัทไว้ในระบบ และใช้ TensorFlow ที่เป็นระบบ AI คำนวณหาลายผ้าที่ตรงความต้องการ ด้วยการทำงานร่วมกันของสองเทคโนโลยีนี้ทำให้บริษัทลดเวลาค้นหาลายผ้าเพื่อเสนอลูกค้าเหลือเพียง 2-3 วัน   5.VR และ Augmented Reality สำหรับนวัตกรรมที่ Google กำลังให้ความสนใจอย่างสูงคือ VR (Virtual Reality) เทคโนโลยีใหม่นี้ แต่ละอุตสาหกรรมต่างพิจารณาว่าจะนำไปต่อยอดใช้งานอย่างไรและมีการทดลองใช้บ้างแล้ว เช่น Volvo เปิดตัวแอพพลิเคชั่นที่ให้ผู้ใช้ VR สามารถทดลองขับขี่รถยนต์ Volvo เสมือนจริงจากการใส่แว่น VR เป็นต้น เหล่านี้ทำให้ Google มีการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องพร้อมตอบสนองธุรกิจในการนำไปใช้งาน